ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงประโยชน์สูงสุดของการฉีดวัคซีน หรือวัคซีนช่วยชาติ โดยระบุว่า ไวรัสโควิด-19 จะสามารถเพิ่มจำนวนหรือแพร่ระบาดได้ต่อเมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์ และโดยธรรมชาติของไวรัสโควิด-19 เมื่อผู้ติดเชื้อรักษาหาย ไม่เสียชีวิต ร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองในช่วงสัปดาห์ที่สอง ดังนั้นผู้ติดเชื้อจะกลายเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อกลุ่มคนในชุมชนหรือพื้นที่หนึ่ง มีภูมิคุ้มกันหลายคน จะทำให้ไวรัสไม่สามารถเข้าไปในร่างกายมนุษย์ได้ มันจะค่อยๆ สลายตัวและตายไป นี่จึงเป็นเหตุผลว่า หากสัดส่วนคนในประเทศใดประเทศหนึ่งมีภูมิคุ้มกันมากพอ จะทำให้ไวรัสโควิด-19ตายไปจากประเทศนั้น ซึ่งสำหรับไวรัสอื่นทั่วไป มักจะต้องมีจำนวนคนที่มีภูมิคุ้มกัน ร้อยละ 95 ของคนในประเทศ จึงจะทำให้ไวรัสตัวนั้นสลายไปได้ แต่สำหรับโควิด-19 คาดการณ์ว่า น่าจะต้องมีจำนวนคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของคนในประเทศ
แต่การจะเกิดภูมิคุ้มกันได้นั้น มี 2 วิธี นั่นคือ
1. การติดเชื้อและรักษาหาย จึงจะเกิดภูมิคุ้มกัน แต่วิธีนี้ อาจมีบางคนที่เสียชีวิตก่อนจะเกิดภูมิคุ้มกัน
2.การเกิดภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน
แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่ง ที่กลัวการฉีดวัคซีน ดังนั้น วิธีแรกสุดในการเลือกวัคซีนมาใช้ในประเทศใดก็ตาม จึงต้องเลือกจากความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยประสิทธิภาพ โดยจากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 14 ม.ค.64 วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ถูกผลิตออกมาโดย 20 บริษัท ด้วยเทคโนโลยีการผลิต 4 ชนิด วัคซีนที่พูดถึงกันมาก คือ
1.วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ และบริษัทโมเดอร์นา ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ไม่เคยใช้กับมนุษย์มาก่อน จึงไม่มีใครรู้ว่าจะก่อให้เกิดการแทรกซ้อนกับร่างกายอย่างไร รวมทั้งมีผู้ที่ทดลองฉีดเสียชีวิตและเกิดอาการแทรกซ้อน ซึ่งต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนหรือไม่
2.วัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนที่ผลิตโดยไม่ได้ใช้ไวรัสโควิด-19ในการผลิต ทำให้กระบวนการผลิตราคาไม่แพง ซึ่งไทยสั่งซื้อได้ในราคา 5 เหรียญต่อโดส และคาดว่าจะก่อให้เกิดการแทรกซ้อนน้อย
3.วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทซิโนแวค ใช้เทคโนโลยีที่ร่างกายมนุษย์คุ้นเคยมานาน คือการทำให้เชื้อตายแล้วจึงส่งเข้าร่างกายเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจึงปลอดภัยมาก แต่กระบวนการผลิตจะมีราคาสูงกว่า ซึ่งไทยจะได้ล็อตแรกเข้ามาในเดือน ก.พ.นี้
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ ระบุว่า วัคซีน 2 ตัวที่ไทยนำเข้ามา คือวัคซีนของแอสตราเซเนกาและวัคซีนของซิโนแวค ถือเป็นวัคซีนประเภทที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ แม้ว่าผลการทดลองตัวเลขประสิทธิภาพจะมีเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา แต่ในความเป็นจริง เราไม่จำเป็นต้องใช้วัคซีนที่มีเปอร์เซ็นต์ประสิทธิภาพสูงๆ แต่ต้องมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพทำให้โรคไม่รุนแรงและไม่ทำให้เสียชีวิต ส่วนวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา หลายประเทศที่สั่งไปใช้ ก็เริ่มมีประชาชนไม่แน่ใจและไม่กล้าฉีด
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ ขอให้คนไทยมั่นใจกับวัคซีนที่ทีมสาธารณสุขนำเข้ามา และเชิญชวนให้ฉีดวัคซีน เพื่อทำให้การติดเชื้อในประเทศน้อยลง เมื่อประชากรจำนวนมากของประเทศมีภูมิคุ้มกัน ก็จะทำให้ไวรัสโควิดหายไปจากประเทศไทย นี่จึงเป็นการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยชาติ