ความคืบหน้า การดำเนินคดีคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 65,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อวานนี้ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ และข้อหาฉ้อโกง โดยนำเอกสารหลักฐานมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) มีมติในที่ประชุมเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2557 มอบหมายให้ตนในฐานะเลขานุการ นบข. แจ้งผลการประชุมให้กับทางองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อดำเนินคดีกับคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าวที่นำข้าวซึ่งไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ มาเข้าโครงการ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผิดชนิดข้าว 5 ราย รวม 5 จังหวัด 10 โกดังกลาง , กลุ่มข้าวเสีย 13 ราย รวม 22 จังหวัด 94 โกดังกลาง และกลุ่มข้าวไม่ตรงตามมาตรฐาน 59 ราย รวม 51 จังหวัด 652 โกดังกลาง รวมปริมาณข้าวทั้งสิ้นประมาณ 3,600,000 ตัน ซึ่งจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องนับ 100 ราย
เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.สุวรรณภูมิ ร่วมกับฝ่ายสืบสวน สน.ดุสิต ร่วมกันจับกุมร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อายุ 70 ปี อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ซึ่งเป็นคดีที่ตัวแทนบริษัทบีพีซี ประเทศกัมพูชา เข้าแจ้งความว่าบริษัทได้ติดต่อซื้อปูนซีเมนต์จากบริษัททีพีไอประเทศไทยเพื่อนำไปขายที่ประเทศกัมพูชาอยู่เป็นประจำ แต่ต่อมาปรากฏว่ามีอีเมล์แจ้งเปลี่ยนเลขบัญชีการโอนเงินปลายทางค่าซื้อปูนซีเมนต์ ทางบริษัทจึงโอนเงิน แค่ต่อมาทราบว่าโอนเงินไปผิดบัญชี จึงให้ตัวแทนแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต ต่อมาการตรวจสอบพบว่าเจ้าของบัญชีเป็นของสมาคมวัฒนธรรมไทยจีนที่มีร.ต.ท.เชาวรินธร์เป็นกรรมการ
ทั้งนี้หลังการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวร.ต.ท.เชาวรินธร์ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขัง โดย ไม่คัดค้านการประกันตัว โดยให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ขณะที่ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ขณะที่ความคืบหน้าคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งตำรวจกองปราบปรามจับกุม นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี และน.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันลักทรัพย์ โดยยักยอกเงิน สจล.จำนวน 1,494 ล้านบาท และมีการทำบัญชีธนาคารปลอมเพื่อหลอกลวงว่าเงินยังอยู่ในบัญชีธนาคาร รวมทั้งมีการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลที่สาม ต่อมามีการออกหมายจับผู้ต้องหาในขบวนการได้อีกหลายราย และยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 3 รายนั้น คือ นายธวัชชัย ยิ้มเจริญ , นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ และนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด โดยนายธวัชชัยกับนายสมพงษ์ ยังอยู่ในประเทศ ส่วนนายกิตติศักดิ์ ตำรวจได้ประสานไปยังกองการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลของประเทศไทย เพื่อเร่งติดตามจับกุมตัว นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาจารย์ใน สจล.คนหนึ่ง ที่มีเงินจากบัญชี สจล.โอนตรงเข้าบัญชีจำนวน 5-6 ล้านบาท ซึ่งในการสอบสวนก่อนหน้านี้ อาจารย์อ้างว่ารู้จักกับนายทรงกลด และนายทรงกลดนำเงินเข้าบัญชีให้ จึงให้นำหลักฐานมาชี้แจงเพิ่มเติมว่าเหตุใดนายทรงกลดจึงโอนเงินให้ นอกจากนี้ตำรวจยังเตรียมออกหมายเรียกบุคคลอีก 10 คนที่มีการโอนเงินโดยผิดปกติเช่นกัน
ส่วนการที่กลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) สินค้าส่งออกไทย กว่า 700 รายการนั้น นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภา ผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า จะเสนอเร่งเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับอียูโดยเร็ว และขอให้ออกมาตรการผ่อนปรนและช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันภาครัฐได้พยายามลดผลกระทบ แต่ในขณะเดียวกัน เอกชนเองก็จะต้องติดต่อกับประเทศผู้นำเข้าในอียูเพื่อขอนำเข้าสินค้าในกลุ่มสินค้าที่อียูขาดแคลนและต้องการ ซึ่งยอมรับว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่ไทยเสียเปรียบกลุ่มประเทศคู่แข่งในอาเซียน โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ที่กำลังจะได้รับสิทธิ์จีเอสพีพลัส (GSP Plus) ในปีนี้ ส่วน เวียดนามก็ยังเร่งทำเอฟทีเอ กับยุโรป ที่คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงและจัดทำแผนร่างเป็นกฎหมายบังคับใช้ร่วมกันทั้ง 2 ประเทศภายใน 1 ปีครึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าเปลี่ยนไปซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่าจากเวียดนาม
ขณะที่การลดราคาสินค้าตามต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงนั้น พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ให้กรมการค้าภายในวิเคราะห์ต้นทุนสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นรายกลุ่มสินค้าว่ามีสินค้าใดได้รับประโยชน์จากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นต้นทุนด้านการขนส่งบ้าง คาดว่าในสัปดาห์หน้า จะมีสินค้าบางรายการปรับราคาลง
ทั้งนี้นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.30 บาท/ลิตรจากเดิมจัดเก็บ 3.05 บาท/ลิตร เป็น 3.35 บาท/ลิตร และพิจารณาปรับลดอัตราการ จัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลง 0.40 บาท/ลิตร จากเดิม จัดเก็บ 3.65 บาท/ลิตร เป็น 3.25 บาท/ลิตร เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และเพื่อกำกับดูแลค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยจะขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน ให้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 95 ลง 1 บาท/ลิตร ลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และ E 20 ลง 0.60 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง 0.30 บาท/ลิตร ส่วน E85 ราคาคงเดิม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้
อย่างไรก็ดีถึงแม้ราคาขายปลีกน้ำมันจะลดลงอย่างต่อเนื่องแต่ประเทศไทยยังคงมีสัดส่วนการนำเข้า น้ำมันดิบร้อยละ 85 ของการจัดหาน้ำมันดิบทั้งหมดของประเทศ กระทรวงพลังงานจึงขอความร่วมมือประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็นแม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจะลดลงก็ตาม
สำหรับฐานะสุทธิเงินกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 มกราคม 2558 อยู่ที่ประมาณ 19,625 ล้านบาท
*-*