ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ พุธที่ 20 มกราคม 2564

20 มกราคม 2564, 09:07น.


ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ พุธที่ 20 มกราคม 2564



นายกฯสั่งดำเนินคดี คนบิดเบือนทุกเรื่อง



          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเป็น ประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยกล่าว ถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าได้วิพากษ์วิจารณ์การนำเข้า วัคซีนที่มีการเชื่อมโยงกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยโยงเกี่ยวการเมืองและใช้คำว่า "วัคซีนพระราชทาน" ว่า เป็นการบิดเบือน ทุกเรื่อง ทุกอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลย ดังนั้น ขอให้ทุกคนระมัดระวังไว้ด้วยการเสนอข่าวพวกนี้



สาธารณสุข แจงการจัดหาวัคซีนโควิด-19ในไทย



          นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงการจัดหาวัคซีน เพื่อให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าปี 2564 จะได้วัคซีนมาฉีดให้คนไทยครึ่งประเทศ จากซิโนแวค เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และต่อด้วยแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส ปลายเดือนพฤษภาคม และจะเจรจาขอซื้อเพิ่มให้ครบถ้วนร้อยละ 50 ในปี 2564 ไม่ถือว่าล่าช้า



          ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ย้ำว่า รัฐบาลเห็นว่าการนำวัคซีน มาฉีดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ลดการแพร่เชื้อ เป็นเรื่องสำคัญและไม่ได้ดำเนินการช้า เพราะเราเริ่มต้นตั้งแต่กลางปีที่แล้วที่ยังมีการทดลองวัคซีนอยู่ โดยวัคซีนฉีดให้คนไทย ร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรมาจาก 3 ช่องทาง คือ



1.เข้าร่วมกับโคแวกซ์ (COVAX) เพื่อจองซื้อวัคซีนถังกลาง ให้ครอบคลุมร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร แต่ด้วยไทยมีฐานะ ปานกลาง จึงได้ราคาที่สูงกว่าประเทศที่รายได้ต่ำกว่า ซึ่งมีความยุ่งยากในการจองซื้อรวมถึงการได้วัคซีนมาก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งเพียงแต่เป็นไปได้ค่อนข้างยาก



2.รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้ผลิตในประเทศ จากบริษัทแอสตราเซเนกา ผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด จำนวน 26 ล้านโดส หรือร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร และ



3.การเปิดทางให้บริษัทที่จะมีผลการทดลองออกมาเป็นระยะอีกร้อยละ 10 ของประชากร



          ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ระบุว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีสมัยใหม่ ต้องมี ความพร้อม คนที่มาสอนก็ไม่เสียเวลามากเกินไป เพราะมีความเร่งด่วน ดังนั้น แอสตราเซเนกาเป็นผู้คัดเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเกิดจากเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กับ เครือเอสซีจี ที่เป็นหน่วยงานพัฒนาร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงเจรจาดึงให้แอสตราเซเนกามาประเมินศักยภาพบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์

          แอสตราเซเนกาเองก็มีความต้องการขยายฐานการผลิตทั่วโลกและต้องการกำลังการผลิตในระดับ 200 ล้านโดสต่อปีขึ้นไป ถึงจะพิจารณา โดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จึงเข้าได้กับเกณฑ์ที่แอสตราเซเนกาต้องการ



          อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยได้ข้อตกลงในลักษณะนี้ มีหลายประเทศอื่น อยากได้เช่นเดียวกับเรา มีผู้พยายามจะเข้ามา แข่งให้แอสตราเซเนกาคัดเลือกแต่ด้วยความพยายามของทีมประเทศไทยเราได้เจรจา แสดงศักยภาพให้เขาเห็นรวมถึงรัฐบาลแสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จากเดิมผลิตเพียงแค่ชีววัตถุหรือยาที่ใช้ในการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเท่านั้น ให้สามารถปรับศักยภาพมาผลิตวัคซีนไวรัลเวกเตอร์ได้ ด้วยการสนับสนุนงบประมาณ 595 ล้านบาท เอสซีจีสนับสนุนอีก 100 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ จนแอสตราเซเนกา คัดเลือกเรา

          ความพยายามของประเทศไทยไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน ต้องมีพื้นฐานอยู่เดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ ทรงวางแนวทางไว้ว่า บริษัทการผลิตยาชีววัตถุ ต้องลงทุนมหาศาล รายได้ผลกำไรแต่ละปีไม่เพียงพอ ที่จะมาคืนทุนในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการขาดทุนเพื่อกำไร ให้ประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตยาชีววัตถุ ลดการนำเข้า ที่ผ่านมา เป็นมูลค่ามากกว่าช่วงที่ขาดทุนเสียอีก ประหยัดงบประมาณภาพรวมของงานด้านสาธารณสุข ซึ่งส่วนนี้คนที่ไม่เห็น อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าไปสนับสนุนบริษัทที่มีความขาดทุน แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเป็นไปตามหลักปรัชญาที่ในหลวงพระราชทานไว้ให้เรา



'อาจารย์หมอรามาฯ'เล่าสยามไบโอฯในความทรงจำ ใครมีอคติตามืดบอดโง่บ้าก็ปล่อยให้อยู่กับความคิดต่ำตม



        รศ.พญ.เยาวนุช คงด่าน ผู้ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาลนมะรักษ์ อดีตหัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์เต้านมและต่อมไร้ท่อ รองคณบดีฝ่ายบริหารกิจการพิเศษ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Youwanush Kongdan ว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ในความทรงจำของข้าพเจ้า

         สิบกว่าปีก่อน สมัยยังเป็นอาจารย์ที่รามาธิบดี ได้ยินชื่อบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ครั้งแรก จากที่ประชุมภาควิชาว่าทางมหาวิทยาลัย แจ้งเวียนให้ทราบว่าบริษัทนี้ตั้งขึ้นด้วยเงินทุนจาก ทุนลัดดาวัลย์ ตอนแรกก็ฟังผ่านๆ บริษัทอะไรนะชื่อไทยมากๆ หัวหน้าภาคบอกเป็นทุนที่ได้มาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ตั้งขึ้นเพื่อผลิตยาที่มีราคาแพง ใช้เทคโนโลยีสูงเพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงได้ และประเทศเราสามารถพึ่งตนเองได้ ตอนนั้นเราก็ฟังๆแล้วก็ผ่านไป เพราะคงเป็นเรื่องไกลตัว

          ผ่านมาไม่นาน มีโอกาสได้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการพิจารณายาของคณะ ก็มียาตัวหนึ่งเป็นยากระตุ้นเม็ดเลือดแดงของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ทำเรื่องเข้าโรงพยาบาล มีแพทย์และเภสัชกรหลายคนต่อต้านไม่ให้นำเข้า เพราะเป็นยาของบริษัทใหม่ และมียา ของบริษัทต่างประเทศอยู่แล้วถึงสองตัว เรียกว่าเข้าพิจารณาแล้วโดนเตะเข้าเตะออกอยู่หลายรอบ จำได้ว่าในรอบที่ได้มีโอกาสได้เข้าไปเป็นกรรมการ ก็ยกมือเห็นด้วยให้นำยาตัวนี้เข้าโรงพยาบาล ให้เหตุผลว่า ถ้าเราซึ่งเป็นคณะแพทย์หลักไม่สนับสนุน แล้วใครจะให้โอกาสให้บริษัทแจ้งเกิด ส่วนเมื่อเข้ามาแล้ว แพทย์จะสั่งใช้หรือไม่ก็จะใช้ดุลยพินิจของตนเอง หลังจากยาเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดีแล้ว ก็ไม่ได้ติดตามอีกว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นหมอผ่าตัดไม่มีโอกาสได้ใช้

          จนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว มาได้ยินชื่อบริษัทนี้อีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาลนมะรักษ์ มีผู้แทนมาเสนอ ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว ซึ่งคนไข้มะเร็งเมื่อให้ยาเคมีบำบัดต้องได้รับยากระตุ้นนี้ ตอนแรกก็เกือบจะปล่อยผ่าน พอถามชื่อบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์  ได้บอกเจ้าหน้าที่ไปว่า เราตั้งโรงพยาบาลนี้ก็เพราะเราตามรอยท่าน บริษัทนี้เป็นของท่าน จึงทำเรื่องเข้าโรงพยาบาลเลย เพื่อคนไข้ที่เงินน้อยก็สั่งตัวนี้เป็นทางเลือก ยานี้จากเข็มละเป็นหมื่น ถ้าฉีดตัวนี้เหลือแค่พันเศษๆ นี่ไงวิสัยทัศน์ของพระองค์ท่าน เท่าที่ใช้มา ผลก็ไม่มีปัญหา ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยกว่ายา original เลย

          วันนี้ ได้ยินชื่ออีกครั้ง กับการผลิตวัคซีนโควิด บอกได้เลยว่า กราบแทบพระบาทสำนึกในสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระองค์

          ใครที่มีอคติตามืดบอดเพราะโง่หรือบ้า ก็ปล่อยให้อยู่กับความคิดต่ำตมของเขาไป

          วันนี้ขอเขียนยาวหน่อย จากมุมมองและสิ่งที่ตัวเองเห็นเองกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์



สภากำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 16-19 ก.พ.



          นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียกประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) และวิปรัฐบาล เพื่อหารือกรอบการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทั้งการประชุมชดเชยเรื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติกำหนดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อชดเชยการงดประชุมในทุกวันศุกร์ ยกเว้นวันศุกร์ที่ 12 กับวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 พร้อมทั้งกำหนดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน ในวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2564 และลงมติวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 และกำหนดให้วันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ในวาระที่ 2



ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ในวาระ 3 เบื้องต้นกำหนดการขอเปิดสมัยประชุมวิสามัญเพื่อลงมติร่างรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ในวันที่ 17-18 มีนาคม 2564 พร้อมกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ในวาระที่ 2-3 ด้วย



ฝุ่น PM2.5 ปกคลุม  53 เขต กทม. เกินมาตรฐาน 41-76 ไมโครกรัม



          กรุงเทพมหานคร รายงานสภาพอากาศวันนี้ มีฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานหลายพื้นที่ ศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ประจำวันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจวัดได้ 41-76 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 53 พื้นที่ คือ  เช่น เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 76 มคก./ลบ.ม. เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 76 มคก./ลบ.ม. และเขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 72 มคก./ลบ.ม.ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร = ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพขอ



ให้ประชาชนทั่วไปในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศเกินมาตรฐานให้เฝ้าระวังสุขภาพ หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ เด็กและผู้ป่วยทางเดินหายใจ และใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากเกิดความจำเป็น



ผบช.น.ย้ำ จำเป็นต้องวิสามัญคนร้ายคลุ้มคลั่งหลังฆ่าแม่ตัวเอง



          หลังอาสาสมัครดับเพลิงที่ร่วมกันเข้าไประงับเหตุหลังได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านภายในซอยบางพรม 54 แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน ไลฟ์เฟซบุ๊ก ก่อนพบว่าภายในบ้านมีชายคลุ้มคลั่งถือมีดยาว ทำให้การระงับเหตุเพลิงไหม้นั้นเป็นไปด้วยความยากและอันตราย ชายในคลิป คือ นายนนทชัย การเคารพ อายุ 35 ปี เกิดคลุ้มคลั่ง เผาบ้านพักของตัวเอง และใช้มีดดาบยาวประมาณ 1 เมตร เฉือนร่างนางสุรางค์รัตน์ จ้อยเจือ มารดา อายุประมาณ 62 ปี เสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงพยายามเจรจาเกลี้ยกล่อม แต่ไม่เป็นผล นายนนทชัย พยายามใช้มีด ข่มขู่จะทำร้าย เจ้าหน้าที่จึงฉีดน้ำแรงดันสูงที่เตรียมมาสำหรับดับไฟใส่คนร้าย จากนั้นคนร้ายก็ปีนกำแพงข้างบ้านหนีออกมา และพุ่งเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเสาธง จึงถูกตำรวจจราจรวิสามัญฆาตกรรม บริเวณเชิงสะพานข้ามคลองลัดวัดใหม่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วานนี้



          สำหรับผู้ตายประกอบอาชีพวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง เสพยามาหลายปี และติดคุกมาตลอด เมื่อออกมาก็เสพยา และมักมีอาการคลุ้มคลั่ง จะทำร้ายร่างกายคนในบ้านมานับ 10 ครั้ง เมื่อครอบครัวไปแจ้งความที่ สน.บางเสาธง ก็ไม่เคยถูกจับ จนมาเช้าวานนี้ (19 ม.ค.) ประมาณ 06.00 น. ก็คลุ้มคลั่งอีกครั้ง โดยถือมีดไล่ทำร้ายคนตามถนน ครอบครัวจึงแจ้งตำรวจ เมื่อสายตรวจมาถึง ก็มีการพูดคุยกันก่อนที่สายตรวจจะกลับไป เพราะอ้างว่าไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าและอ้างว่านายนนทชัยแกล้งบ้า หลังจากนั้นไม่ถึง 5 นาที นายนนทชัยก็เผาบ้านตนเอง เมื่อชาวบ้านไปดูก็พบร่างของนางสุรางค์รัตน์ ถูกลากออกมาเสียชีวิตบริเวณบ้านแล้ว จึงพยายามดับไฟแต่ถูกนายนนทชัย ข่มขู่ ไม่ให้ดับไฟ และถูกวิสามัญฯ ในที่สุด



          น้าสาวผู้ก่อเหตุ ยืนยันจะเอาเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปล่อยปละละเลยไม่เข้าระงับเหตุ หรือนำตัวผู้ก่อเหตุไปดำเนินคดีหรือสงบสติอารมณ์ เพราะที่ผ่านมามีการแจ้งความลักษณะนี้แล้วนับ 10 ครั้ง แต่ไม่เคยมีความคืบหน้า ขณะที่ญาติพี่น้องก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ ผู้ก่อเหตุใช้มีดขู่จะทำร้าย จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องเศร้า ผู้ก่อเหตุเมายาคลั่งฆ่าแม่ของตัวเองเสียชีวิต



          ส่วนพี่ชายคนร้าย เชื่อว่าการคลุ้มคลั่งในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการเสพยาเสพติด แต่เกิดจากอาการทางจิต เพราะน้องชายมีอาการสองบุคคลิกตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุผ่าตัดทางสมอง หลังจากนั้นก็มีอารมณ์รุนแรง เริ่มมีปัญหากับญาติ จนกระทั่งถูกญาติเรียกมาจับกุมเมื่อ 2 วันก่อน จึงอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ทำร้ายแม่ และเผาบ้านครั้งนี้ เพราะอาจน้อยใจที่แม่ปกป้องไม่ได้ ทำให้ถูกจับส่งตำรวจ



          ด้านพลตำรวจโทภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเปิดเผยว่า หลังรับแจ้งชายคลุ้มคลั่งเผาบ้านพัก ตำรวจรีบเข้าไประงับเหตุพบมารดาผู้ก่อเหตุนอนอยู่ ขณะที่คนร้ายถืออาวุธมีดวิ่งเข้าใส่ ตำรวจบอกให้วางอาวุธ แต่คนร้ายวางอาวุธได้พักเดียว ก็หยิบมีดขึ้นมาใหม่ ตำรวจจึงยิงปืนเตือนหลายนัด เมื่อจวนตัวเพราะคนร้ายวิ่งเข้าหาตัว จึงตัดสินใจวิสามัญ เพื่อไม่ให้คนร้ายไปทำร้ายคนอื่น และเป็นเหตุจำเป็นซึ่งหน้า  เบื้องต้น ตำรวจที่วิสามัญแล้ว ส่วนสาเหตุการก่อเหตุอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน แต่เบื้องต้นพบประวัติเคยก่อเหตุชิงทรัพย์โดยมีอาวุธเมื่อปี 2548 พื้นที่ สน.ตลิ่งชัน และพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2559 ส่วนประวัติยาเสพติดอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และในที่เกิดเหตุยังไม่พบยาเสพติด ส่วนกรณีที่ญาติ ร้องเรียนว่าเคยแจ้งตำรวจไว้หลายครั้งแต่ไม่มาระงับเหตุ ดำเนินการจับกุม หรือพาตัวส่งโรงพยาบาลโรคประสาท จนกลายเป็นเหตุสลดใจว่า จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว หากพบว่ามีการปล่อยปละละเลย ก็จะดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง พร้อมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เข้มงวดมากขึ้น ส่วนการพาตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่ญาติต้องยินยอมด้วย

ข่าวทั้งหมด

X