รายงานการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตรายสัปดาห์ (MMWR) ซึ่งรวบรวม ข้อมูลจาก 37 ประเทศในยุโรป ซึ่งจัดทำโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)ของสหรัฐฯ ระบุว่า นโยบายปราบปรามผู้อพยพไม่ให้ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งหลายประเทศในยุโรปดำเนินการอย่างจริงจัง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมปีที่แล้ว ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 หลายหมื่นรายในยุโรป ช่วยลดการแพร่ระบาดให้น้อยลง และทำให้หลายประเทศในยุโรปไม่ต้องใช้วิธีล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
รายงานระบุว่าประเทศในยุโรปที่ดำเนินนโยบายปราบปรามผู้อพยพอย่างเข้มงวดตั้งแต่เนิ่นๆเมื่อต้นปีที่แล้วสามารถช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตหมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่ดำเนินนโยบายคล้ายกัน แต่ล่าช้ากว่ากลุ่มแรก เพิ่มเติมว่ากลุ่มประเทศที่เข้มงวดในการปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมืองก่อนประเทศอื่นๆ แม้เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์อาจจะมาตรการสำคัญในการลดตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวนมาก
จากการประเมินของทีมวิจัยพบว่า ถ้าสหราชอาณาจักรเข้มงวดนโยบายสกัดผู้อพยพไม่ให้ลักลอบเข้าเมืองตั้งแต่ก่อนฤดูใบไม้ผลิ(ระหว่างมีนาคมถึงพฤษภาคม)ปีที่แล้ว สหราชอาณาจักรจะสามารถลดตัวเลขผู้เสียชีวิตประมาณ 22,776 ราย ฝรั่งเศสจะสามารถลดตัวเลขผู้เสียชีวิตกว่า 13,000 ราย และสเปนจะสามารถลดตัวเลขผู้เสียชีวิต 9,300 ราย แต่ความล่าช้า ทำให้สหราชอาณาจักร เบลารุสและลักเซมเบิร์ก ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดค่อนข้างเร็วกว่าหลายประเทศ
ส่วนกรณีสหรัฐฯ แม้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯจัดทำข้อเสนอแนะต่างๆเพื่อใช้ควบคุมโรคทั่วประเทศ แต่ให้อำนาจของแต่ละรัฐในการพิจารณารายละเอียดต่างๆเช่น การสวมหน้ากากอนามัย การปิดโรงเรียนและมาตรการอื่นๆ ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ เช่นคนที่ไม่สามารถจะเดินทางเข้าไปยังรัฐหนึ่งที่ถูกล็อกดาวน์เนื่องจากเป็นศูนย์กลางแพร่ระบาด ยังสามารถจะเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงยังอีกรัฐหนึ่งที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ ทำให้ยากที่จะประเมินได้ว่ามาตรการปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมืองช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 หรือไม่
Cr: CNN, Mail Online UK