ความคืบหน้ากรณีที่ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกรุกอาคารรัฐสภา ทางการวอชิงตันดีซี ได้ออกประกาศมาตรการเคอร์ฟิวทั่วเมืองตั้งแต่เวลา 18.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอและหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ มาสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผลักดันผู้ประท้วงออกไปจากอาคารรัฐสภา
สมาคมประวัติศาสตร์รัฐสภาสหรัฐฯ ระบุว่า เป็นการโจมตีอาคารอันเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดนับตั้งแต่กองทัพอังกฤษเผาอาคารในปี พ.ศ. 2357
นายแอนดรูว์ คูโอโม่ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า สมาชิก 1,000 คน ของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติของรัฐเดินทางไปที่วอชิงตัน โดยจะประจำการเป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจเปลี่ยนผ่านอำนาจประธานาธิบดีอย่างสันติ และกล่าวด้วยว่าเป็นเวลา 244 ปีแล้วที่ประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกามีการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติและนิวยอร์กพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าเจตจำนงค์ของชาวอเมริกันจะดำเนินไปอย่างปลอดภัย ซึ่งนอกจากนี้ยังมีกำลังเจ้าหน้าที่จากเวอร์จิเนีย แมริแลนด์และนิวเจอร์ซีย์เดินทางเข้ามาสนับสนุนวอชิงตันด้วย
นายเจมส์ แมตทิส อดีตรัฐมนตรีกลาโหมคนแรกในรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรงว่ายั่วยุให้มีการละเมิดความปลอดภัยของแคปิตอลฮิลล์ และพยายามที่จะใช้การเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลมาอยู่เหนือประชาธิปไตย
ส่วนนายมาร์ก เอสเปอร์ ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากนายแมตทิส ทวีตข้อความว่าการละเมิดหน่วยงานรัฐนั้นน่ากลัวและไม่เหมือนคนอเมริกัน ผู้กระทำความผิดเหล่านี้ได้รับแรงกระตุ้นจากข้อมูลที่ผิดของพรรคพวกและการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ส่วนพลเอก โจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการร่วมฯ เห็นว่า การใช้ตำแหน่งประธานาธิบดีมาทำลายความไว้วางใจในการเลือกตั้ง ความเคารพต่อเพื่อนร่วมชาติ นับเป็นเรื่องที่น่าอับอาย รัฐธรรมนูญของเราและสหรัฐอเมริกาจะเป็นฝ่ายชนะ ขณะที่นายทรัมป์จะสมควรถูกทิ้งไว้โดยไม่มีประเทศ ทั้งเห็นว่า นายทรัมป์จะยังคงบ่อนทำลายการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติภายใต้รัฐธรรมนูญต่อไป ซึ่งเป็นการทำร้ายระบอบประชาธิปไตยอย่างอุกอาจและเป็นวันที่น่าเศร้าสำหรับประเทศชาติของเรา ถึงเวลาแล้วที่ชาวอเมริกันทุกคนและโดยเฉพาะนักการเมืองผู้ชนะการเลือกตั้งจะผลักดันการพัฒนาประเทศอย่างที่ได้ปราศรัยหาเสียงไว้
...