ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ เสนอศบค.ยกระดับมาตรการควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด

02 มกราคม 2564, 13:28น.


           จากสถานการณ์ของโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงขึ้น ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เตรียมออกมาตรการควบคุมโรคระบาดที่มีความเข้มข้นขึ้น และหลีกเลี่ยงมาตรการล็อกดาวน์หลังจากที่พบว่ายังคงมีผู้ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นการส่งผลกระทบต่อผู้ที่ปฏิบัติตามมาตรการ





          นพ. ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.เปิดเผยว่า ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (EOC) วันนี้ มีการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดซึ่งพบว่า มีผู้ติดเชื้อหลายคนที่ทราบว่าตนเองไปจุดเสี่ยง แต่ไม่กักตัว ไม่แยกตัวจากผู้อื่น ไม่เข้ารับการรักษา และยังคงมีการลักลอบเล่นการพนัน-มั่วสุม ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและมีอาการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการที่พบผู้ติดเชื้อแล้วใน 53 จังหวัด มาตรการที่ใช้อยู่ในเวลานี้ยังไม่เพียงพอต้องเพิ่มการบังคับใช้มาตรการเข้มข้นขึ้น โดยจะแบ่งพื้นที่เป็น





          พื้นที่ควบคุมสูงสุด (โซนสีแดง) 28 จังหวัด ได้แก่ ตาก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้วสมุทรปราการ จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง ชุมพร ระนอง กรุงเทพมหานคร



          พื้นที่ควบคุม (โซนสีส้ม) 11 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี พังงา



          พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด (สีเหลือง) ได้แก่ 38 จังหวัดที่เหลือ



          โดยมาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด จะแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ดังนี้



ขั้นที่ 1 : จํากัดเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการ, ปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด, ค้นหาและจับกุมกลุ่มบุคคลที่มั่วสุมทําผิดกฎหมาย, หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก, ขอความร่วมมือไม่เดินทางข้ามจังหวัด, สถานศึกษาหยุดการเรียนการสอนหรือใช้รูปแบบออนไลน์, ให้มีการทํางานแบบ Work from Home ทั่วทั้งพื้นที่ที่ ศบค.กําหนด, มีมาตรการควบคุมการเดินทางของบุคคลที่เดินทางจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด, เร่งการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและการสอบสวนโรคในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อและพื้นที่เชื่อมโยงที่ได้ข้อมูลจากการสอบสวนโรคของ สธ.



           ห้วงเวลาดําเนินการ : 4 ม.ค.64 เวลา 06.00 น. ถึง 1 ก.พ.64 เวลา 06.00 น.



ขั้นที่ 2 : จํากัดเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการเพิ่มมากขึ้น (รวมทั้งจํากัดการเปิดกิจการบางประเภทด้วย), ปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด, เพิ่มความเข้มข้นในการเร่งค้นหาและจับกุมกลุ่มบุคคลที่มั่วสุมทําผิดกฎหมาย, งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก, เพิ่มความเข้มข้นในมาตรการควบคุมการเดินทางข้ามจังหวัด, สถานศึกษายังคงหยุดการเรียนการสอนเว้นกิจกรรมที่มีความจําเป็น, เร่งรัดและเพิ่มการทํางานแบบ Work from Home อย่างเต็มขีดความสามารถ, เร่งรัดการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและการสอบสวนโรคในพื้นที่ที่เสี่ยง, กิจกรรม/กิจการที่เสี่ยง, กลุ่มบุคคลที่เสี่ยง, จํากัดเวลาออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ในพื้นที่ที่ ศปก.จังหวัดกําหนด



          ห้วงเวลาดําเนินการ : ตามที่นายกรัฐมนตรี/ผอ.ศบค.เห็นชอบ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการฯ ในกรอบเงื่อนไข ที่ ศบค.กําหนด



          มาตรการเหล่านี้ จะมีการนำเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เพื่อลงนามและประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.เป็นต้นไป



          ส่วนการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (EOC) วันนี้ มีการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีข้อสรุปดังนี้



1.การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปตามพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยมีรูปแบบการแพร่ระบาดที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น ดังนี้



1.1 ผู้ติดเชื้อหลายคน ทราบดีว่าตนเองได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือร่วมกิจกรรม ที่เสี่ยงการติดเชื้อ แต่ไม่ยอมกักกันตนเอง (Self Quarantine) หรือไม่หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น หรือไม่เข้าไปปรึกษาแพทย์ ทําให้เกิดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นในสถานที่ต่างๆ



1.2 ยังมีกิจกรรมลักลอบมั่วสุมโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการพนันเกิดขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาด นอกจากนั้นยังมีการมั่วสุมแบบเคลื่อนที่จากที่หนึ่ง ไปยังที่หนึ่งอีกด้วย



2.มีผู้ติดเชื้อและมีอาการที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลจํานวนมากขึ้น ทำให้ขีดความสามารถทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งด้านบุคลากรและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ลดลง จึงต้องทบทวนมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในภาพรวม



3.ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม มีความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และให้ความร่วมมือกับมาตรการป้องกันโรคเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังขาดความระมัดระวังในมาตรการที่ ศบค.ขอความร่วมมือ จึงมีความจําเป็นต้องบูรณาการการดําเนินมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 เป็นภาพรวม



...

ข่าวทั้งหมด

X