นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์ราคาและควบคุมราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในประเทศไทยมาตลอด โดยต้องแยกประเภทของหน้ากากอนามัย มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ , หน้ากากผ้า และหน้ากากทั่วไป ซึ่งในส่วนของหน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้น ยังแบ่งย่อยออกเป็น ประเภทที่ผลิตในประเทศไทย และประเภทนำเข้ามาจากต่างประเทศ
โดยการควบคุมราคานั้น ในส่วนของหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทย กำหนดไว้ที่ชิ้นละไม่เกิน 2.50 บาท ปัจจุบันมีโรงงานในประเทศ 30 โรงงาน ผลิตได้วันละ 4,000,000-5,000,000 ล้านชิ้น ที่ผ่านมาก่อนเกิดสถานการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาคร พบว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในไทย มีราคาอยู่ที่ประมาณบาทกว่าและไม่เกินราคาควบคุม ส่วนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตจากต่างประเทศและนำเข้ามานั้น จะควบคุมราคาโดยยึดต้นทุนนำเข้าและบวกเพิ่มเข้าไปไม่เกินร้อยละ 60 ของต้นทุนนำเข้า ซึ่งต้องมีการตรวจสอบว่า แต่ละยี่ห้อมีต้นทุนนำเข้าเท่าไหร่
เบื้องต้น จากการประเมินสถานการณ์ เชื่อว่าหากไม่มีการกว้านซื้อหรือกักตุนสินค้า ก็น่าจะเพียงพอกับความต้องการ แต่หากประชาชนพบการขายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์เกินราคา สามารถแจ้งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สายด่วน 1569 หรือแจ้งที่พาณิชย์จังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ โดยผู้ที่ขายเกินราคา มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่กักตุนสินค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกันนี้นายจุรินทร์ยังแนะนำประชาชนทั่วไป ใช้หน้ากากผ้า ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ประหยัดกว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่ควรให้แพทย์และผู้ป่วยใช้
ส่วนความเป็นห่วงเรื่องการส่งออกอาหารทะเลจากไทย หลังการระบาดที่จังหวัดสมุทรสาคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบกับตลาดส่งออกหลัก เพราะกระบวนการผลิตของไทยได้คุณภาพมาตรฐาน ปลอดภัย ปลอดเชื้อโควิด-19 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบและออกใบรับรองให้ผู้ประกอบการใช้อ้างอิงในการส่งออก ส่วนในอนาคตจะมีผลกระทบหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับภาคเอกชนติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะติดตามเรื่องการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอาหารทะเลในประเทศด้วย