สาหัส! เตียงคนไข้ในโตเกียวเต็มแล้ว ยกระดับเตือนภัยสูงสุด เป็นสีแดง
ระบบสาธารณสุขของกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น แทบจะรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้แล้ว เนื่องจาก สำนักงานสาธารณสุขกรุงโตเกียว รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธ.ค.2563 พบผู้ป่วยรายใหม่ 822 คน เป็นสถิติใหม่ และเพิ่มขึ้น 144 คน จากสถิติเมื่อวันพุธ 16 ธ.ค.2563 ที่อยู่ที่ 678 คน ทำให้นางยูริโกะ โคอิเคะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว ประกาศยกระดับเตือนภัยความพร้อมทางการแพทย์ขึ้นสู่ระดับสูงสุดสู่ขั้นที่ 4 คือสีแดง เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เมืองหลวงของญี่ปุ่นเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อเดือน ม.ค.2563 พร้อมเตือนว่าระบบโรงพยาบาลกำลังเผชิญความเสี่ยงรองรับผู้ติดเชื้อไม่ไหว เนื่องจากเตียงคนไข้เต็มหมด
นายมาซาทากะ อิโนะคุจิ รองประธานสมาคมแพทย์กรุงโตเกียว แถลงต่อคณะกรรมการติดตามสถานการณ์โควิด-19 โดยมีนางโคอิเกะ ร่วมรับฟังด้วยว่าผู้ให้บริการทางการแพทย์นำทรัพยากรที่มีสำรองอยู่มาใช้จนหมดแล้ว การลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 คือทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ เมื่อเดือน พ.ย.2563 ฝ่ายบริหารกรุงโตเกียว ยกระดับคำเตือนการติดเชื้อใหม่สู่ขั้นสูงสุด แต่ยังคงคำเตือนความพร้อมทางการแพทย์ไว้ในขั้นที่ 3 ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุด 1 ขั้น
ปรับ!ชาวมัณฑะเลย์กว่า 10,000 คน ฝ่ามาตรการห้ามออกจากบ้าน
สถานการณ์โควิด-19 ในมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ยังน่าเป็นห่วง แม้ว่ามีประกาศคำสั่งห้ามประชาชนทั้ง 7 อำเภอออกจากบ้าน ตั้งแต่วันที่ 5 -18 ธ.ค.2563 รวม 14 วัน ยกเว้นจะมีเหตุผลที่จำเป็น แต่พบว่าคนส่วนใหญ่ฝ่าฝืน ทำให้ยอดผู้ป่วยพุ่งขึ้น ไม่ถึง 2 สัปดาห์เพิ่มกว่า 3,000 คน
หลังการเลือกตั้งในเมียนมา เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2563 ไม่ถึงเดือน พบว่า ยอดผู้ป่วยสะสมของมัณฑะเลย์พุ่งขึ้นจนน่าตกใจ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2563 มีผู้ป่วย 7,029 คน ขยับอันดับขึ้นเป็นพื้นที่ซึ่งมีผู้ป่วยมากเป็นอันดับ 2 รองจากย่างกุ้ง จนทางการต้องนำมาตรการห้ามประชาชนออกนอกบ้านมาบังคับใช้
นายจายปันแสง รัฐมนตรีกิจการชาติพันธุ์ไทใหญ่ ภาคมัณฑะเลย์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ต้องกันพื้นที่บางส่วนของมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมัณฑะเลย์ เพื่อใช้เป็นสถานที่กักกันของรัฐเพิ่มอีก เพื่อเฝ้าดูอาการของผู้ที่เดินทางเข้ามาในมัณฑะเลย์ และผู้ที่สงสัยว่าอาจติดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ปรับประชาชนกว่า 11,000 คน ในมัณฑะเลย์เพราะฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกจากบ้าน โดยมีอัตราค่าปรับคนละ 5,000 จ๊าด หรือประมาณ 3.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เวียดนาม เริ่มฉีดวัคซีนเฟสแรกให้อาสาสมัคร 3 คนแรกแล้ว
เวียดนาม เริ่มทดลองฉีดวัคซีน Nanocovax เฟสแรกให้อาสาสมัคร 3 คนแรกแล้วที่มหาวิทยาลัยแพทย์ทหารเวียดนามในกรุงฮานอย เป็นผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน ทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 20 ปี หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง ทุกคนมีอาการคงที่ เจ้าหน้าที่จะเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 72 ชั่วโมง การฉีดวัคซีนมีทั้งหมด 3 เฟส อาสาสมัครที่เหลือในกลุ่ม 60 คน ที่ถูกเลือกเพื่อร่วมในเฟสแรกจะได้รับการฉีดวัคซีนในอีก 3 วันถัดไป ส่วนเฟสที่ 2 ยังไม่ได้กำหนดวัน เพราะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของเฟสแรก ซึ่งจะดำเนินการกับอาสาสมัครประมาณ 400-600 คน
ผู้รับการฉีดวัคซีน 3 คนแรก เลือกมาจากอาสาสมัครมากกว่า 200 คน ที่ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการทดลองวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Nanogen Pharmaceutical Biotechnology JSC.
พล.ท.โด๋ เกวียต ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ถึงเวลาที่เวียดนามจะบอกให้โลกรู้ว่าเราสามารถทำได้ และยังเป็นการพิสูจน์ตัวเองในการต่อสู้กับโควิด-19 จนถึงตอนนี้
นายเหวียน หงอ กว่าง รองหัวหน้าสำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการฝึกอบรม กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เวียดนามยังต้องต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป และต้องการความร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาสาสมัคร ขณะเดียวกัน ชุมชนก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยโดยคิดว่ามีวัคซีนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
กักตัวกันเป็นแถว! ผู้ใกล้ชิดปธน.มาครง ของฝรั่งเศส ทั้งภรรยาและผู้นำยุโรป
ผู้นำยุโรปหลายคน รวมทั้ง นางบริจิตต์ ภรรยาของนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กักตัวและตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากที่นายมาครง มีผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นบวก เริ่มจาก นายฌอง กัสแต็กซ์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส นายเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน นายอันโตนิโอ คอสตา นายกรัฐมนตรีโปรตุเกส นายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป รวมทั้งนายโฮเซ่ อังเกล กูร์เรีย เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ต่างก็ถูกกักตัว และเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากมีการพบปะกับนายมาครง
ก่อนที่นายมาครง จะมีผลการตรวจหาเชื้อเป็นบวก ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีซานเชส ของสเปน และเมื่อวันจันทร์ 14ธ.ค. 2563 เข้าร่วมการประชุมนานาชาตินัดหนึ่งที่พระราชวังเอลิเซ่ ซึ่งเป็นทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในกรุงปารีส
ดาวโจนส์ ปิดตลาดสูงสุด มีความหวังมาตรการฟื้นศก.ชาวอเมริกันตกงานสูงเกินคาด
นักลงทุุน มั่นใจมากขึ้นว่าร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบโควิด-19 จะผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส แกนนำระดับสูงของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตใกล้ตกลงกันได้เกี่ยวกับแพคเกจรอบใหม่เยียวยาผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องตกงาน นักลงทุนจำนวนมากมองว่ามาตรการใหม่นี้จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในทันที หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วข้อมูลจากกระทรวงแรงงานพบว่ามีชาวอเมริกันยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นผิดคาด ทำให้หุ้นวอลล์สตรีท ของสหรัฐฯ ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 17ธ.ค.2563
-ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 148.83 จุด หรือร้อยละ 0.49 ปิดที่ 30,303.37 จุด
-เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 21.31 จุด หรือร้อยละ 0.58 ปิดที่ 3,722.48 จุด
-แนสแดค เพิ่มขึ้น 106.56 จุด หรือร้อยละ 0.84 ปิดที่ 12,764.75 จุด
มุมมองในแง่บวกเกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ราคาน้ำมันปิดตลาดแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนม.ค.2564 เพิ่มขึ้น 54 เซ็นต์ ปิดที่ 48.36 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนก.พ.2564 เพิ่มขึ้น 42 เซ็นต์ ปิดที่ 51.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
นอกจากนี้แล้วราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ และปัจจัยดังกล่าว ทำให้ราคาทองคำ ปิดตลาดพุ่งแรง ราคาทองคำโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนก.พ.2564 เพิ่มขึ้น 31.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 1,890.40 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์