นายแอนโธนี โซ หัวหน้าทีมวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุข บลูมเบิร์ก มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ ระบุในรายงานซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ บีเอ็มเจ ของอังกฤษ ว่ากว่าครึ่งของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่อยู่ในแผนการผลิตของบริษัทผลิตวัคซีนชั้นนำของโลก เช่น ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ผู้ผลิตวัคซีนสหรัฐฯ-เยอรมนี ถูกจองซื้อล่วงหน้าโดยบรรดาประเทศที่มีรายได้สูง เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย หมายความว่าหนึ่งใน 4 ของประชากรโลกจะยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจนกว่าจะถึงปี 2556
ที่ผ่านมา บรรดาประเทศที่มีฐานะร่ำรวยสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้ารวม 7,500 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอสำหรับฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับประชาชนราว 3,760 ล้านคน ระบุว่า กว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 51) ของวัคซีนที่จองซื้อล่วงหน้าจะถูกส่งมอบให้กับประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของประชากรทั่วโลก ขณะที่ ประเทศที่เหลือ ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าร้อยละ 85 ของประชากรทั่วโลกจะต้องรอไปจนถึงปี 2556
โดยเฉพาะสหรัฐฯซึ่งมีผู้ป่วยโควิด-19 เฉลี่ยหนึ่งใน 5 ของผู้ป่วยทั่วโลก แต่สั่งซื้อวัคซีนรวม 800 ล้านโดส ขณะที่ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย มีสัดส่วนผู้ป่วยต่ำกว่าร้อยละ 1 ของผู้ป่วยทั่วโลก แต่สั่งซื้อวัคซีนราว 1,000 ล้านโดส นักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุข บลูมเบิร์ก คาดว่าโรงงานผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกจำนวน 13 แห่งจะผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวม 6,000 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564
แต่อีกหนึ่งความพยายามที่จะกระจายวัคซีนไปยังประชากรส่วนใหญ่ของโลก คือ โครงการพัฒนาและแบ่งปันวัคซีนไวรัสโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก หรือโคแว็กซ์ (COVAX) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก พันธมิตรความร่วมมือเพื่อนวัตกรรมเตรียมความพร้อมสำหรับโรคระบาด (The Coaltion for Epidemic Preparedness Innovations) และองค์กรวัคซีนกาวี (Gavi) ซึ่งสั่งซื้อวัคซีนรวม 2,000 ล้านโดส ทีมวิจัยคาดว่าองค์กรโคแว็กซ์จะมีบทบาทสำคัญในการกระจายวัคซีนไปให้กับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกในอนาคต
...
Cr: CNN