ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563

16 ธันวาคม 2563, 07:51น.


คลัง เตรียมกู้เงินเพิ่ม 50,000 ล้าน ตามความจำเป็น เดินหน้าคนละครึ่งเฟส 2

          นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)  กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สบน.ได้เตรียมกู้เงิน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1,000,000 ล้านบาท เป็นการเตรียมเม็ดเงินสนับสนุนมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 2 เป็นต้น 



          การกู้เงินครั้งนี้ สบน.จะใช้เครื่องมือ 2 ส่วน ได้แก่ 1) การออกตั๋ว สัญญาใช้เงิน (P/N) วงเงิน 20,000 ล้านบาท และ 2) ทำสัญญาการกู้เงินในรูปแบบเทอมโลน (term loan) วงเงิน 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีการเปิดประมูลพร้อมกันในวันที่ 23 ธ.ค.2563 และคาดว่าจะมีการเบิกใช้เงินกู้ในปี 2564 ซึ่งจะเป็นการทยอยเบิกเงินตามความจำเป็นในการใช้  



          กระทรวงการคลัง เตรียมกู้เงินไว้รองรับมาตรการของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 2 ซึ่งอาจจะใช้เงินจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมาโครงการคนละครึ่งเฟสแรก ก็มีการทยอยเบิกเงินไปใช้อย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการต่ออายุเติมเงินใส่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มอีก 500 บาท อีก 3 เดือน ยังไม่ได้สรุปว่าจะใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ หรืองบประมาณจากส่วนใด ขึ้นอยู่กับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)



          ผู้อำนวยการ สบน.ยืนยันว่าจะดำเนินการกู้ตามความจำเป็น การจะใช้จ่ายเงินกู้แต่ละครั้ง สบน.มีหน้าที่เปิดวงเงินกู้เตรียมไว้ แต่อาจจะยังไม่จำเป็นต้องเบิกมาใช้จ่ายทั้งหมด เช่น เงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท ก็เป็นการกำหนดกรอบการกู้เงินไว้ แต่ยังไม่มีการกู้เงินจริง แต่จะกู้มาใช้เมื่อจำเป็น เมื่อมีความต้องการใช้เงิน เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระเรื่องดอกเบี้ย



          ส่วนในอนาคตจะกู้ถึง 1,000,000 ล้านบาทหรือไม่ นางแพตริเซีย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เพราะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐ แต่หากในอนาคตมีความจำเป็นในการใช้เงินเพิ่มเติม สบน.ก็มีช่องทางในการดำเนินการกู้เงินมาให้ได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องการดำเนินงาน ปัจจุบัน สบน.ได้มีการศึกษาและหาเครื่องมือเพื่อจะนำมาใช้กู้เงินได้อย่างเหมาะสม ทั้งพิจารณามาตรการการกู้เงินจากต่างประเทศ และเครื่องมืออื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความต้องการใช้เงินยังไม่ได้มีมากจึงยังไม่ได้มีการตัดสินใจใช้มาตรการการกู้เงินจากต่างประเทศเพิ่ม



นายกฯ สั่งดำเนินคดีโรงแรม-คนที่ร่วมทุจริต โครงการเราเที่ยวด้วยกัน

          น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน หลังได้รับรายงานว่ามีการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างโรงแรมกับผู้ที่ได้รับสิทธิในลักษณะที่มีการโกงเกิดขึ้นว่าต้องตรวจสอบให้เจอว่าคนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มไหน และเป็นโรงแรมที่ไหน ซึ่งต้องดำเนินการจัดการขั้นเด็ดขาดด้วยการฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างและแบบอย่าง



ผู้ว่าฯ ททท.ดำเนินคดีทั้งแพ่ง-อาญา พบวิธีโกงเราเที่ยวด้วยกัน ไม่พักจริง-ขายสิทธิ



          นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยื่นเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในเรื่องนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่พบการทุจริตในโครงการ ในเบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ เพราะต้องตรวจสอบจำนวนห้องพักที่มีความผิดปกติ ขณะนี้มีชื่อโรงแรมที่เข้าข่ายต้องสงสัยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมขนาดเล็ก



รูปแบบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ ได้แก่



1.การเข้าเช็กอินในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้เข้าพักจริง และใช้สิทธิคูปองใช้จ่ายวันธรรมดา 900 บาท วันเสาร์-อาทิตย์ 600 บาท



2.เช็กอินแต่ไม่เข้าพักจริง ขณะที่โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพักด้วย โดยร่วมมือกับร้านอาหาร หรือร้านค้าที่รับชำระคูปอง สาเหตุที่เกิดข้อ 1 และ 2 เพราะรัฐบาลได้ปลดล็อกเงื่อนไขให้ใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวได้ในภูมิลำเนาของตนเอง ผู้ได้สิทธิร่วมมือกับโรงแรม ส่งเลขบัตรประชาชน 4 หลักสุดท้าย และเบอร์โทรศัพท์ ใช้รับรหัสโอทีพียืนยัน ทำให้โอนสิทธิได้



3.โรงแรมยังไม่กลับมาเปิดปกติ แต่มีตัวตนและลงทะเบียนตามปกติ มีการขายห้องพักเหมือนกับมาเปิดเป็นปกติแล้ว ตรวจพบทั้งการจองผ่านโรงแรมโดยตรง และการจองผ่านช่องทางตัวแทนออนไลน์ (โอทีเอ)



4.มีการใช้ส่วนต่างของคูปองเพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวน กรณีร้านค้าเพิ่มราคาอาหารไปมากกว่ามูลค่าอาหาร



5.มีการเข้าพักจริง แต่เข้าพักแบบเป็นกรุ๊ปเหมา ตั้งราคาห้องพักในระดับสูง และรับเงินส่วนต่างที่ตกลงกันไว้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงแรมและผู้เข้าพัก ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่จองตรงกับโรงแรม



6.โรงแรมที่เปิดขายห้องพักเกินจำนวนจริงที่มี เช่น มีห้องพักจริง 100 ห้อง แต่เปิดขาย 300 ห้อง จำนวนห้องที่เกินจะนำไปขายต่อให้กับโรงแรมอื่น เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง



          ผู้ว่าฯททท.เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการปลดล็อกเงื่อนไขให้เที่ยวภายในภูมิลำเนาได้ พบว่ามียอดจองใช้สิทธิในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ในช่วงก่อนขยายเวลาการใช้โครงการรอบแรก ประมาณเดือนก.ค.-ส.ค.2563 มีการจองประมาณ 14,000 ห้องต่อวัน และเมื่อเพิ่มห้องพักให้จาก 5 สิทธิเป็น 10 สิทธิ มีการจองประมาณ 20,000 ห้องต่อวัน และเมื่อขยายเวลาสิ้นสุดโครงการจากเดือนต.ค.2563เป็นต้นมา และการปลดล็อกภูมิลำเนา พบจำนวนการใช้สิทธิ 54,000 ห้อง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะต้องมีการตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นคาดว่า ภายใน 1 เดือนจะตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าทำผิดจริงหรือไม่ได้ครบถ้วน นอกจากจะดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว จะตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการอื่นๆ ของรัฐทั้งหมดด้วย ในส่วนของผู้ใช้สิทธิต้องพิจารณาอีกครั้งว่ามีเจตนาในการทำความผิดจริงหรือไม่ หากถูกหลอกลวงจะเป็นอีกกรณีทำให้ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ยืนยันว่าการฉ้อโกงจะต้องเอาผิดจริงทั้งโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และผู้ใช้สิทธิ



ธุรกรรมที่ต้องสงสัยมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นโรงแรม และร้านค้า จากข้อมูลที่มีพบว่า



-มีโรงแรมที่เข้าข่ายพฤติกรรมต้องสงสัยประมาณ 312 ราย มีผู้ใช้สิทธิ 108,962 สิทธิ



-ในส่วนของร้านค้ามีประมาณ 200 ราย มีผู้ใช้สิทธิ 49,713 สิทธิ



ททท.จะตรวจสอบกรณีที่ต้องสงสัยโดยด่วน แบ่งกรณีการตรวจสอบออกเป็น 3 แบบ ได้แก่



1.มีการจอง เข้าพัก และทำการจ่ายเงินแล้ว หากพบว่ามีการทุจริตต่อโครงการจะดำเนินคดีอย่างหนักทั้งทางแพ่งและอาญา



2.จองแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าพักและชำระเงิน จะให้ระงับการจ่ายเงินสำหรับธุรกรรมที่น่าสงสัยไว้ก่อน



3.จองแล้ว ยังไม่ได้เช็กอินและชำระเงิน จะมีการตรวจสอบต่อไป



รร.สังกัด กทม.437 แห่ง งดทำกิจกรรมเข้าแถวหน้าเสาธง ป้องกันฝุ่น PM2.5



          พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ว่าได้สั่งการให้โรงเรียนสังกัด กทม.ทั้ง 437แห่ง งดทำกิจกรรมเข้าแถวหน้าเสาธง แต่ให้ทำกิจกรรมภายในห้องหรือหน้าห้องเรียน จัดทำห้องปลอดฝุ่นในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน 292 ศูนย์ จำนวน 1,000 ห้อง มีห้องเรียนเด็กเล็กในโรงเรียนสังกัดกทม.437 แห่ง รวมทั้งห้องปลอดฝุ่นส่วนกลางในทุกโรงเรียน สำหรับเป็นสถานที่ให้เด็กรอผู้ปกครองรับกลับบ้านจำนวน 1,500 ห้อง รวมทั้งสิ้น 2,500 ห้อง



หมอ เผยผลวิจัยในยุโรป-สหรัฐฯ พื้นที่ที่มีฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง เสี่ยงต่อโควิด-19



          ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งตรวจพบเกินค่ามาตรฐานจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพในกรุงเทพฯและปริมณฑล ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากประเทศไทย จะเผชิญกับไวรัสโควิด-19 แล้ว ยังต้องเผชิญกับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งหลายพื้นที่ในประเทศไทยกำลังเป็นพื้นที่สีแดงหรือเป็นสีม่วง ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกาย และจากการศึกษาทางระบาดวิทยาของเมืองในยุโรปและสหรัฐฯ พบว่า ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานจะมีโอกาสต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 เมื่อเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ จะไปทำลายภูมิคุ้มกันและระบบการป้องกันในทางเดินหายใจ ทำให้เสี่ยงต่อการติดไวรัสโควิด-19 ได้มากขึ้น



ด้าน รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวว่า แหล่งกำเนิด PM 2.5 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ



-กลุ่มปฐมภูมิ ประกอบด้วย การเผาไหม้ของเกษตรกรในที่โล่งแจ้ง, ควันเสียโรงงานอุตสาหกรรม, ไอเสียจากยานพาหนะ, ฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้าง ซึ่งฝุ่นปฐมภูมิถือเป็นฝุ่นที่ฟุ้งตลบอยู่รอบตัวเรา



-กลุ่มทุติยภูมิ คือ ก๊าซบางชนิด เช่น ก๊าซแอมโมเนีย หรือไนโตรเจนไดออกไซด์ ที่ลอยสูงเหนือระดับพื้นดินก่อนทำปฏิกิริยาแล้วตกลงมากลายเป็น PM 2.5 โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวจะเกิดสภาวะอากาศที่อัดแน่น ส่งผลให้ฝุ่น PM 2.5 มีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น ที่น่ากลัว คือ ถ้าฝุ่นที่เล็กสามารถผ่านกระแสเลือดของเราเข้าไปในปอดได้ จากนั้นจะไปตามอวัยวะที่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยง ส่งผลให้ผู้ป่วยที่รับฝุ่นเข้าไปจำนวนมากจะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด คนป่วยเป็นโรคไต อาจทำให้ไตเสื่อมเรื้อรังได้ง่ายขึ้น ขณะที่ทารกในครรภ์อาจเกิดอาการผิดปกติ คือ เมื่อคลอดออกมาแล้วจะมีน้ำหนักตัวน้อย แนะนำให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน PM 2.5 ที่ได้รับการการันตีจากกระทรวงสาธารณสุข หรือมีตรา มอก. เพื่อความปลอดภัยในระยะนี้



 



 

ข่าวทั้งหมด

X