วันนี้ สหรัฐฯ เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ชาวอเมริกัน
รถบรรทุกขบวนแรกลำเลียงวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับการแจกจ่ายให้ชาวอเมริกัน ออกจากโรงงานผลิตที่รัฐมิชิแกน เมื่อวันอาทิตย์ 13 ธ.ค.2563 และคาดว่าในวันนี้ 14 ธ.ค.2563 จะเดินทางถึงจุดหมายตามรัฐต่างๆ เริ่มต้นขั้นตอนในการฉีดให้กับชาวอเมริกัน
บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ร่วมมือพัฒนาวิจัยวัคซีนร่วมกับบริษัทไอโอเอ็นเทค เป็นการเริ่มต้นโครงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อกว่า 72 ล้านคน และเสียชีวิตทั่วโลก 1,610,336 ราย
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ในวันนี้ วัคซีนล็อตแรกของจะส่งถึงศูนย์กระจายวัคซีน 145 แห่ง จากนั้นในวันอังคารจะเดินทางถึงอีก 125 แห่ง และในวันพุธอีก 66 แห่ง และจะต้องดำเนินการส่งให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ จะจัดส่งวัคซีนราว 3,000,000 โดส ให้กับกลุ่มเสี่ยงที่จะฉีดกลุ่มแรกคือบุคลากรด้านการแพทย์และผู้ที่อยู่ในสถานพักฟื้นผู้สูงอายุ ขณะที่ จำนวนผู้ติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังช่วงวันหยุด วัคซีนนี้จึงเป็นความหวังในการต่อสู้กับโรคระบาดที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตแล้วเกือบ 300,000 ราย
การจัดส่งวัคซีนไปที่โรงพยาบาลหรือสถานที่อื่นๆ ที่สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิต่ำมากถึง -70 องศาเซลเซียส โดยบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ใช้วิธีใส่น้ำแข็งแห้งในตู้คอนเทนเนอร์และติดตั้งเซ็นเซอร์ที่เปิดใช้งานจีพีเอสเพื่อให้แน่ใจว่า วัคซีนที่จัดส่งแต่ละล็อตยังคงอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่าสภาพอากาศในแอนตาร์กติกา
พญ.แซนดรา เคมเมอร์ลี ผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพ โรงพยาบาลออชเนอร์ เฮลธ์ ซิสเต็ม ในรัฐหลุยเซียนาและรัฐมิสซิสซิปปี ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาล 40 แห่ง เปิดเผยว่า พนักงานที่ได้รับอนุมัติให้ฉีดวัคซีนรอบแรกจะได้รับข้อความและอีเมลแจ้งกำหนดการฉีดวัคซีน พนักงานเหล่านั้นกระตือรือร้นมาก เพราะการฉีดวัคซีนจะทำให้มั่นใจว่ามีภูมิคุ้มกันและไม่ต้องกลัวขณะปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล โครงการแจกวัคซีนจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีวัคซีนเพียงพอฉีดให้ประชาชนคนละ 2 โดส เพื่อป้องกันโควิด-19 เท่ากับว่า รัฐบาลจะต้องมีวัคซีน 3,000,000 โดสเพื่อฉีดเข็มที่สองให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนรอบแรกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อไป
ด้าน นพ.มอนเซฟ สลาอุย หัวหน้าโครงการ Operation Warp Speed เปิดเผยว่า สหรัฐฯ คาดหมายว่าโครงการการฉีดวัคซีนจะทำให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกัน 100 ล้านคนในช่วงสิ้นเดือนมี.ค.2564
CR:CNN,Daily Mail
บริษัทญี่ปุ่น 90% งดจัดงานเลี้ยงปีใหม่ เลี่ยงโควิด-19
ผลสำรวจบริษัทญี่ปุ่นเกือบ 9 ใน 10 แห่ง ไม่มีแผนที่จะจัดงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในปีนี้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่พนักงานอาจติดเชื้อไวรัสโควิด-19 งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า หรือโบเนนไก (Bonenkai) และงานเลี้ยงต้อนรับปีใหม่ หรือชินเนนไก (Shinnenkai) ถือเป็นพิธีการสำคัญในวัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่น และทำให้ช่วงเดือนธ.ค.2563-ม.ค.2564 เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในญี่ปุ่น
ผลสำรวจจัดทำโดยบริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ช เปิดเผยว่า ปีนี้ บริษัทร้อยละ 87.8 จำนวน10,059 แห่งทั่วประเทศที่ร่วมตอบแบบสำรวจ ไม่ได้วางแผนจัดงานเลี้ยงประจำปี
สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวได้จากการตอบแบบสอบถามออนไลน์ระหว่างวันที่ 9-16 พ.ย. 2563 ทำให้เห็นได้ว่า บริษัทต่างๆ เตรียมงดจัดงานเลี้ยงอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะพุ่งสูงขึ้นในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันทั่วประเทศทำสถิติสูงกว่า 3,000 คนในเดือนนี้
หากพิจารณาเป็นพื้นที่ ผลสำรวจ พบว่า บริษัทในจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมากและมีผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมาก มีแนวโน้มมากที่จะงดจัดงานเลี้ยงประจำปี เช่น ฮอกไกโด โอซากา และโตเกียว ขณะที่ในอากิตะและซางะ ซึ่งส่วนใหญ่มีผู้ติดเชื้อรายวันเป็นเลขตัวเดียว พบว่า บริษัทร้อยละ 65 และร้อยละ 68 จะไม่จัดงานปีใหม่
หลังชนฝา!เกาหลีใต้ ติดเชื้อใหม่เกิน 1,000 คน เตรียมล็อกดาวน์บางส่วน
หลังจากที่เกาหลีใต้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 1,030 คน ในรอบ 24 ชม.ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 42,766 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุดถือเป็นสถิติสูงสุดและยังเป็นครั้งแรกที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงกว่า 1,000 คน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่เริ่มมีการรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศ
เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อรายวันแตะหลักร้อยเป็นวันที่ 36 ติดต่อกันนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.2563 โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนในกรุงโซล และจังหวัดคย็องกี รวมถึงผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ
สำหรับการติดเชื้อภายประเทศ จากการติดตามประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อพบว่าเป็นผู้ที่ไปเข้าร่วมประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งพบการติดเชื้อที่บ้านพักคนชรา โรงเรียนกวดวิชาเอกชน และร้านอาหาร ตลอดจนการรวมตัวของญาติมิตร
ขณะเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 2 ราย ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 580 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 1.36
ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้วมีจำนวน 31,814 คน คิดเป็นอัตราการรักษาหายที่ร้อยละ 74.39
ประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ ประชุมฉุกเฉินที่สำนักงานใหญ่ของศูนย์รับมือภัยพิบัติและความปลอดภัยกลาง เรียกร้องให้มีการเฝ้าระวังและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 หากยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ รัฐบาลจะต้องเพิ่มมาตรการเว้นระยะห่างให้เป็นระดับสาม ซึ่งเป็นมาตรการระดับสูงสุด เกาหลีใต้อยู่ในภาวะหลังชนฝาแล้ว และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดในการควบคุมสถานการณ์ มาตรการระดับ 3 หมายถึงการล็อกดาวน์เป็นบางส่วน ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในเกาหลีใต้
ขณะนี้ พื้นที่กรุงโซลและบริเวณรอบ ๆ อยู่ในมาตรการคุมเข้มระดับ 2.5 ซึ่งห้ามการชุมนุมเกิน 50 คน และภัตตาคารห้ามเสริฟอาหารให้ลูกค้าภายในร้านหลัง 21.00 น.
เวียดนาม จำคุก 10 ปี หัวหน้าศูนย์ควบคุมโรค ทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันโควิด-19
ศาลเวียดนาม ตัดสินจำคุกหัวหน้าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกรุงฮานอย เป็นเวลา 10 ปี หลังพบว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการการจัดซื้ออุปกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรับมือกับการระบาดของโควิด-19 กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายเหวียน เญิ่ต เกิ่ม อายุ 57 ปี ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกรรมจัดซื้อระบบทดสอบโควิด-19 สูงเกินจริง ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณ 5,400 ล้านด่ง หรือประมาณ 7,000,000 บาท
พฤติกรรมของนายเกิ่ม และผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแพทย์และหน่วยงานต่อสู้โควิด-19 ทำให้ประชาชนโกรธแค้นไม่พอใจและไม่เชื่อมั่นหน่วยงานที่ดูแลด้านสาธารณสุข
นอกจากนี้ ศาลยังตัดสินจำคุกผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อีก 9 คน เป็นเวลาระหว่าง 3 ปี ถึง 6 ปี 6 เดือน
มาตรการติดตามตัวและกักตัวอย่างเข้มงวด ทำให้เวียดนาม สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ยอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมในประเทศอยู่ที่ 1,395 คน มีผู้เสียชีวิต 35 ราย
EU เป็นห่วงนักข่าวบลูมเบิร์ก ถูกจับในปักกิ่ง เรียกร้องจีน อนุญาตให้พบทนาย
สหภาพยุโรป (EU) เรียกร้องให้ทางการจีน อนุญาตให้นักข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ถูกควบคุมตัวในกรุงปักกิ่งของจีน เมื่อวันที่ 7ธ.ค.2563 ได้พบกับทนายความ ได้รับการดูแลทางการแพทย์ และติดต่อกับครอบครัวได้ น.ส.เฮซ ฟ่าน นักข่าวชาวจีน ที่ทำงานให้กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กประจำกรุงปักกิ่ง ถูกสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติกรุงปักกิ่ง ควบคุมตัว เนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของจีน
EU ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับนักข่าวและชาวจีนหลายคนที่หายตัวไปในปีนี้ เนื่องจากการรายงานข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางการจีนปล่อยตัวคนเหล่านี้ในทันที
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเธอจากรัฐบาลจีน และสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ขณะที่ครอบครัวของเธอได้รับแจ้งเรื่องที่น.ส.ฟ่าน ถูกควบคุมตัวภายใน 24 ชั่วโมง
น.ส.ฟ่าน เริ่มทำงานกับสำนักงานบลูมเบิร์ก มาตั้งแต่ปี 2560 นอกจากนี้ เธอยังเคยร่วมงานกับสื่อสำนักดังอีกหลายแห่ง เช่น CNBC, CBS News, Al Jazeera และ Reuters อย่างไรก็ตาม ชาวจีนได้รับอนุญาตให้ทำงานเป็นผู้ช่วยข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศในจีนเท่านั้น และไม่ได้รับอนุญาตให้รายงานข่าวอิสระ