กระทรวงสาธารณสุขย้ำการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ พร้อมขอประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นหลัก
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ในขณะนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 49 คนแล้ว โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ป่วยทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางเข้าประเทศตามช่องทางปกติ จึงเข้ารับการกักตัวในสถานกักกันของรัฐทั้งหมด (Local Quarantine) โดยเมื่อวานนี้ (11 ธันวาคม) จ.ท่าขี้เหล็ก ส่งคนไทย 107 คนเดินทางกลับมา โดยเป็นผู้ใหญ่ 104 คน และเด็ก 3 คน ซึ่งเมียนมาได้ตรวจหาเชื้อก่อนการเดินทางพบผู้ติดเชื้อ 5 คน จึงส่งไปดูแลรักษาต่อที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันที เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเชื้อจะเข้ากักตัวในสถานกักตัวของรัฐที่ จ.เชียงรายจัดให้และตรวจหาเชื้ออีกครั้งทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 คนจึงส่งไปดูแลรักษา รวมมีผู้ติดเชื้อเป็น 9 คนในกลุ่มนี้
ทั้งนี้ จ.เชียงราย ได้เตรียมอุปกรณ์ ยารักษาโรค ห้องแยกโรคไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะได้รับการอำนวยความสะดวก ครอบครัว ชุมชน สังคมปลอดภัย ขอย้ำว่าผู้ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่/เชียงราย ไม่ต้องกักตัว โดยผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อ คือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ได้แก่ คนในครอบครัว ผู้ที่พูดคุยกับผู้ติดเชื้อเกิน 5 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่ไอ/จามรดกัน และการอยู่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เกิน 15 นาที ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ผู้ที่เดินทางมาจาก 7 จังหวัด และไม่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงการผู้ที่สัมผัสพูดคุยกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยถือว่าไม่มีความเสี่ยง สามารถเดินทางได้ตามปกติ
นอกจากนี้ การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นมาตรการสำคัญที่ป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากการสำรวจพบว่าคนไทยสวมหน้ากากอนามัยในอัตราสูงมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งช่วยให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ และหากทุกคนสวมหน้ากากความปลอดภัยจากโรคโควิด-19 จะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลงอย่างชัดเจนมากกว่า 10 เท่า ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งในที่สาธารณะ เป็นมาตรการสำคัญลดโรคติดต่อทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื้อโควิด-19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งแตกต่างสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดจากอู่ฮั่น โดยสายพันธุ์ G มีแนวโน้มการแพร่กระจายของโรคได้ง่ายกว่าเดิม แต่ความรุนแรงของโรคน้อยลง การทดสอบในวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพดีเกินกว่าร้อยละ 70 และจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดีย เข้าสู่เมียนมาและเข้าสู่ประเทศไทย สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้
ยืนยันว่า ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีจุดใดที่มีการระบาด การจัดกิจกรรมต่างๆทำได้ โดยขอให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้
1)ผู้จัดงาน ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อม เช่น ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวมหน้ากากอนามัย จัดจุดล้างมือให้เพียงพอ สแกนไทยชนะ และแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ร่วมงานรับทราบ
2)ผู้เข้าร่วมงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อมีการสัมผัสจุดร่วมให้ล้างมือทำความสะอาด สแกนไทยชนะ และเมื่อกลับจากร่วมกิจกรรม ให้สังเกตอาการ หากไม่สบาย มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม
3)เจ้าหน้าที่ให้ติดตามกำกับผู้ประกอบกิจกรรม หากพบว่าไม่ให้ความร่วมมือ ต้องตักเตือนหากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้แจ้งระงับกิจกรรม หรือปิดสถานที่ หากทุกคนร่วมมือกันจะทำให้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากคนที่ 1 พบการติดเชื้อ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 4 คน (คนที่ 2,3,4,5) ต่อมาเมื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบเพิ่มอีก 1 คน (คนที่ 6) ขณะนี้ทุกคนอยู่ในการดูแลของแพทย์และอาการน้อย ไม่รุนแรง สำหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุด เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 คน ในระบบเฝ้าระวัง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยสรุปผลตรวจผู้สัมผัสของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 888 คนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 คน พบติดเชื้อเพียง 1 คน (คนที่6) ซึ่งรายนี้มีผู้สัมผัส 10 คนได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมดผลเป็นลบ สถานการณ์สามารถควบคุมได้ และต้องติดตามสังเกตอาการจนครบ 14 วัน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การพบผู้ลักลอบเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถติดตามได้ทั้งหมด เป็นการติดเชื้อจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่ายังไม่เป็นการระบาด อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรอง และกักกันที่ถูกต้องจากระบบโดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ กลไกสำคัญที่สุดของการควบคุมโรค คือ ความร่วมมือของประชาชน ไม่ตื่นตระหนก ไม่ตื่นตูม “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” และ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม” ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง สังเกตผู้ที่เข้ามาทางพื้นที่ชายแดน หรือมีประวัติว่าได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากเราร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทางก็จะไม่ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงการสแกนไทยชนะ ถึงแม้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่จะช่วยให้ทราบว่าเราไปในสถานที่แห่งนั้น หากพบผู้ติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนให้ไปตรวจทันที ช่วยให้ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีความปลอดภัย
สำหรับสถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทยประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีผู้ป่วยรายใหม่ 12 คน หายป่วยเพิ่มขึ้น 12 คน ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,192 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 คน เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,730 คน เข้าสถานที่กักกัน 1,204 คน หายป่วยสะสม 3,915 คน ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 คน และเสียชีวิตสะสม 60 ราย
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร อินเดีย คูเวต ประเทศละ 1 คน และบาเรนห์ 7 คนแบ่งเป็นคนไทย 9 คน และคนต่างชาติ 3 คน ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 11 คน มีอาการ 1 คน คือ ปวดศีรษะ
ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั่วโลกยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการแพร่ระบาดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาวทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 702,513 คน ทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 71,432,996 คน ซึ่งคาดจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจมากกว่าที่ได้รับรายงานอยู่มากโดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.2 ล้านคน อินเดีย 9.8 ล้านคน บราซิล 6.8 ล้านคน รัสเซีย 2.5 ล้านคน ฝรั่งเศส 2.3 ล้านคน
....
กระทรวงสาธารณสุข