สำนักข่าวฟาร์สของทางการอิหร่าน รายงานว่า นายโมฮัมหมัด บาเกอร์ คาลิบาฟ ประธานรัฐสภาอิหร่าน ทำหนังสือแจ้งต่อประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานีของอิหร่าน ขอให้รัฐบาลดำเนินการตามกฎหมายใหม่ หลังผ่านความเห็นชอบทั้งจากรัฐสภาและสภาที่ปรึกษาของอิหร่าน ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ห้ามคณะผู้สังเกตการณ์จากสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เข้ามาตรวจโรงงานนิวเคลียร์ ขณะเดียวกันอิหร่านจะเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในอัตราร้อยละ 20 จากเดิมร้อยละ 3.67 ภายใต้ข้อตกลงนิวเคลียร์ซึ่งอิหร่านลงนามกับ 6 ชาติมหาอำนาจของโลก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนีและรัสเซียในปี 2558
แต่กฎหมายนี้มีเงื่อนสำคัญคือ บทเฉพาะกาล ระบุว่า อิหร่านจะให้ชาติมหาอำนาจจากยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนี มีเวลา 2 เดือนในการทำตามเงื่อนไขของข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทั้งสองฝ่ายลงนามไว้ในปี 2558 คือการผ่อนคลายการคว่ำบาตรภาคธุรกิจน้ำมันและการเงินของอิหร่าน ซึ่งชาติมหาอำนาจจากยุโรปใช้บังคับ หลังจากสหรัฐฯถอนตัวจากข้อตกลงนั้นในเดือนพฤษภาคม 2561
หากพ้นกำหนดเวลานั้นแล้ว มหาอำนาจจากยุโรปไม่ทำตามข้อเรียกร้องนั้น อิหร่านจะเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ที่โรงงานนิวเคลียร์เมืองนาทันซ์และเมืองฟอร์โดว์ เพื่อเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในอัตราร้อยละ 20 ทันที
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังนายโมห์เซน ฟาคริซาเดห์ นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ระดับอาวุโสสูงสุดของอิหร่านถูกลอบสังหารใกล้กับกรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมาอิหร่านเชื่อว่าอิสราเอลและนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านที่ลี้ภัยในต่างแดนอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารนายฟาคริซาเดห์ ที่ผ่านมา รัฐบาลอิหร่านยืนยันว่ามุ่งใช้นิวเคลียร์ในทางสันติทั้งหมด แต่สหรัฐฯและมหาอำนาจจากยุโรปคว่ำบาตรอิหร่านมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้การพัฒนาโครงการนิวเคลียร์อิหร่านไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
Cr: BBC