นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีคนไทยติดโควิด-19 แล้วลักลอบเข้าประเทศผ่านเส้นทางธรรมชาติ จำนวน 3 คน โดยขณะนี้กำลังตรวจโรคเพื่อขยายผลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายให้มากที่สุด และมองว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นความเห็นแก่ตัวของคนเพียงไม่กี่คน ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเดือดร้อน ทั้งที่ภาครัฐก็ประกาศห้ามเดินทางเข้า-ออกประเทศ แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งลักลอบเข้ามาผ่านเส้นทางธรรมชาติเป็นว่าเล่น ถือว่ากระทำผิดกฎหมาย จึงสั่งสาธารณสุขจังหวัดผ่านคณะกรรมการควบคุมโรค ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ให้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ให้ถึงที่สุด ให้สมกับที่ทำร้ายบ้านเมือง ไม่ควรสงสาร เพราะในขณะที่สถานการณ์ในประเทศกำลังดีขึ้น กำลังจะเปิดประเทศได้ แต่กลับต้องมาทบทวนมาตรการใหม่ เพราะบุคคลเหล่านี้
นายอนุทิน ยังระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งรถชีวนิรภัย รวมทั้งอุปกรณ์และบุคลากร ไปตรวจขยายผลในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทุกอย่างต้องใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน เป็นเพราะคนไม่กี่คนที่แอบเข้าประเทศโดยไม่แจ้งทางการ เพื่อเข้ากักตัวตามขั้นตอน แต่ยังกลับออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนมีอาการป่วยแล้วก็ยังไม่กล้าบอกความจริงว่าไปไหนมาบ้าง ทำให้ตำรวจต้องตรวจสอบจาก GPS ในโทรศัพท์ย้อนหลัง คนเหล่านี้ถือว่ามีความผิดทุกมาตรา ตั้งแต่ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง,พ.ร.บ. โรคติดต่อ และยังไม่ปฏิบัติตามกฎการกักกันตัว 14 วัน รวมถึงโรงแรมที่ผู้ติดเชื้อไปพักอาจมีความผิดด้วย เพราะไม่แจ้งเมื่อพบบุคคลต้องสงสัยเข้าพัก
จากการขยายผลขณะนี้ พบว่าส่วนใหญ่ผลการตรวจโรคผู้มีความเสี่ยงยังเป็นลบ ยอดการติดเชื้อยังมีแค่ 3 คนดังกล่าว แต่ยังต้องเฝ้าระวัง และหากใครรู้ตัวว่าสัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง ขอให้มาตรวจโรคทันที ส่วนจำเป็นต้องปิดเมืองเชียงใหม่และเชียงรายหรือไม่ กรณีที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น นายอนุทินระบุว่า ขณะนี้ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเส้นทางธรรมชาติตามแนวชายแดน เพราะหากประชาชนผ่านเข้า-ออกและเข้ารับการตรวจสอบโรคตามมาตรการ ก็จะไม่มีปัญหาผู้ติดเชื้อเล็ดรอดมาแน่นอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของตัวบุคคลด้วย