ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2563

01 ธันวาคม 2563, 08:43น.


ไทย-โปรตุเกส เดินหน้าเศรษฐกิจ ชวนลงทุนในเขตอีอีซี-ขยายแนวทางการท่องเที่ยว



          การหารือร่วมกันระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับนายฟรังซิชกู เด อัสซิช มูไรช์ เอ คูญา วาซ ปัตตู  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำประเทศไทย เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่



          นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่แน่นแฟ้นยาวนานกว่า 500 ปี โดยมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็ง นายกฯ ขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และพัฒนาต่อเนื่อง



          ด้านเอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ทำให้ได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่ดี ยินดีที่รัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นที่ยอมรับ ซึ่งโปรตุเกสประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับไทยด้วย



          ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีโอกาสในการขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกฯ ยินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากปี 2561 พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคเอกชนของโปรตุเกสขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของไทย ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นอีกภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ



CR:รัฐบาลไทย



ธปท.จับตาสัญญาณเปราะบางของศก.-9ธ.ค.เปิดมาตรการดูแลค่าเงินบาท



          น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือน ต.ค. 2563 หดตัวในอัตราสูงเมื่อเทียบกับการหดตัวในเดือนก่อนหน้า จากปัจจัยต่างๆ เช่น



-การบริโภคภาคเอกชน หดตัวหลังจากขยายตัวได้เล็กน้อยในเดือนก่อนหน้า



-การส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน แต่หดตัวสูงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน



-การลงทุนภาคเอกชน หดตัวสูง



-การใช้จ่ายภาครัฐ กลับมาหดตัวจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำที่ล่าช้า



-ภาคการท่องเที่ยว หดตัวสูงจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทย แม้ในเดือนนี้ภาครัฐเริ่มอนุญาตให้นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourists Visa หรือ STV ) เดินทางเข้าไทยได้ แต่ก็ยังมีจำนวนน้อย



-ภาพรวมตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทั้งการจ้างงานและรายได้แต่ยังเปราะบาง ส่วนหนึ่งสะท้อนจากอัตราว่างงานและสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานในระบบประกันสังคมที่ยังอยู่ในระดับสูง



ปัจจัยที่ ธปท.ติดตาม



-การฟื้นตัวในตลาดแรงงาน



-สถานการณ์น้ำแล้ง



-ผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรในปี 2564



-การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย รวมทั้งมาตรการควบคุมการระบาดของแต่ละประเทศซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบการส่งออก ภาคการท่องเที่ยวไทย 



-การแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะเมื่อเดือนพ.ย.2563ที่แข็งค่าขึ้นมากจากความคืบหน้าของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้ในวันที่ 9 ธ.ค.2563 ธปท.จะเปิดเผยความคืบหน้ามาตรการดูแลค่าเงินบาท



-ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้าของนายโจ ไบเดน 



หอการค้าไทย-จีน เชื่อ ปีหน้าเศรษฐกิจไทยโต 2.5-3.5 %



          นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 1/2564  สำรวจจากความเห็นของคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีนเครือข่ายสมาพันธ์การค้าไทย-จีนสมาคมธุรกิจต่างๆของจีน กว่า 60 สมาคม พบว่า ร้อยละ 61.5 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตสูงขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจในประเทศจีน เนื่องจาก จีนสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ เป็นอย่างดี



          นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นพร้อมกับนักท่องเที่ยวจากจีนน่าจะเริ่มกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 สอดคล้องกับการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ที่คาดการณ์ว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวราวร้อยละ 5.2 ส่วนเศรษฐกิจจีน จะขยายตัวร้อยละ 8.2 และเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.0



          หอการค้าไทย-จีน มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าจะเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5-3.5 เฉพาะในภาคธุรกิจพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร บริการโลจิสติกส์ บริการสุขภาพ และสินค้าเกษตรแปรรูป จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเศรษฐกิจไทยอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนในการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น แม้ว่าจะมีการค้นพบวัคซีนก็ตาม



          นอกจากนี้ เชื่อว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ จะทำให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐฯและจีนผ่อนคลายลงจะทำให้บรรยากาศการค้าทั่วโลกกลับมามีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้าได้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดของนักลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองไทย และมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในการเปิดรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะต้องติดตามกันต่อไป



          มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน ในรอบ 10 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ต.ค. 2563) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 64,763 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 17.89 ของมูลค่าการค้ารวมของไทย โดยมีการส่งออกไปยังประเทศจีนมูลค่า24,542 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.7 คิดเป็นร้อยละ 12.76 ของการส่งออกของไทย



ระบบระบบธนาคารล่ม เหตุจ่ายบิล-ทำธุรกรรมสูง



          น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า กรณีที่ระบบโมบายล์แบงค์กิ้ง (mobile banking) ของบางธนาคารมีการหน่วงหรือช้ากว่าปกติ จากการติดตาม พบว่า บางธนาคารมีการตอบกลับช้าหรือเข้าใช้งานไม่ได้เป็นช่วงๆ โดยส่วนใหญ่เป็นรายการประเภทชำระบิลเรียกเก็บเงิน (Bill payment) และบางธนาคารมีรายการรอทยอยเข้าบัญชีในช่วงธุรกรรมสูง (Peak time) ธปท. และธนาคารสมาชิกได้ร่วมกันติดตามการให้บริการและการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยให้ธนาคารพาณิชย์ที่ระบบช้า เร่งชี้แจงลูกค้า และให้มีช่องทางอื่นให้ลูกค้าใช้ทดแทน



น้ำมันโลก ปิดลบ จับตาที่ประชุมโอเปกพลัส




          สมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ลงมติเป็นเอกฉันท์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขยายกรอบเวลาข้อตกลงลดกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบันออกไปอีก 3 เดือน นับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มโอเปกพลัส ด้วยเช่นกัน กลุ่มโอเปกพลัส เลื่อนการประชุมจากวันนี้ไปเป็นวันที่ 3 ธ.ค.2563



-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนม.ค.2564 ลดลง 19 เซนต์ ปิดที่ 45.34 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล



-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนม.ค.2564 ลดลง 59 เซนต์ ปิดที่ 47.59 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

          ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบพอสมควร นักลงทุนขายทำกำไร หลังจากหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ จนทำให้เดือนพ.ย.2563 เป็นเดือนพ.ย.ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอสแอนด์พี 500

-ดาวโจนส์ ลดลง 271.73 จุด หรือร้อยละ 0.91 ปิดที่ 29,638.64 จุด



-เอสแอนด์พี ลดลง 16.72 จุด หรือร้อยละ 0.46 ปิดที่ 3,621.63 จุด




-แนสแดค ลดลง 7.11 จุด หรือร้อยละ 0.06 ปิดที่ 12,198.74 จุด

ข่าวทั้งหมด

X