นายพอล แอลเลียต หัวหน้าทีมวิจัยของสถาบันรีแอคท์-1 (React-1) มหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน อังกฤษ เปิดเผยว่า จากการศึกษาโดยการเก็บตัวอย่างเยื่อบุในคอ หรือโพรงจมูกของกลุ่มประชากร 105,123 คน เพื่อส่งตรวจยังห้องแล็บระหว่างวันที่ 13-24 พ.ย.ทีมวิจัยพบว่าผู้ป่วยใหม่เพียง 821 คนติดโรคโควิด-19 หรือลดร้อยละ 30 หลังการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ระบุว่า ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นผลเชิงบวกต่อมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ บ่งชี้ ว่าการกระทำและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่วิถีชีวิตแบบใหม่มีประสิทธิภาพในการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายแอลเลียต คาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในอังกฤษจะเริ่มมีแนวโน้มไปในทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่พื้นที่ซึ่งแต่เดิมเป็นศูนย์กลาง เช่น พื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ลดลงจากเดิมกว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ ทีมวิจัยพบว่าอัตราการผลิตเชื้อไวรัสซ้ำ(reproduction (R) rate)ลดมาอยู่ที่ร้อยละ 0.88 จากเดิมซึ่งอยู่ระหว่างร้อยละ 0.9-1 หมายความว่าในปัจจุบัน ผู้ป่วยหนึ่งคนสามารถจะแพร่เชื้อยังกลุ่มเสี่ยงใหม่ๆไม่ถึงหนึ่งคน บ่งชี้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มลดลงโดยลำดับ
ส่วนผลสรุปอื่นๆที่ทีมวิจัยพบคือ ชนกลุ่มน้อยชาวเอเชีย,กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ยากจน และคนที่พักอาศัยอยู่กับครอบครัวขนาดใหญ่ มีสมาชิกในครอบครัว 6 คนขึ้นไป เป็นกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 มากกว่ากลุ่มอื่นๆในอังกฤษ
ด้านนายแมต แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่าผลวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าทุกพื้นที่ของอังกฤษจะต้องควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ในปัจจุบัน อังกฤษมีผู้ป่วยสะสม 1,617,327 คน เสียชีวิต 58,245 ราย
Cr: BBC