ไทยลงนาม แอสตราเซเนกา จองล่วงหน้าวัคซีนโควิด-19 เตรียมผลิตในไทยเพื่อใช้ในภูมิภาคอาเซียน

27 พฤศจิกายน 2563, 16:53น.


             พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีน COVID – 19 โดยการจองล่วงหน้า ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน โดยการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีน จำนวน 26 ล้านโดส



          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ที่สร้างความเสียหายอย่างมาก ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีในระดับหนึ่งด้วยความร่วมมือของทุกคน แต่ทุกคนก็ยังต้องระมัดระวัง และไม่ประมาทต่อไป รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการแพร่ระบาด พร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้ช่วยผลักดันโครงการจัดหาวัคซีนดังกล่าว ซึ่งคาดว่า ประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในปี 2564 ทั้งนี้ ประเทศไทยจะพึ่งตนเองให้ได้ในเรื่องวัคซีน และต้องมีวัคซีนอย่างเพียงพอ



          นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลสนับสนุนให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันการจัดหาวัคซีนโควิด-19 และครั้งนี้สามารถดำเนินการได้จนใกล้จะบรรลุเป้าหมาย โดยคาดว่าคนไทยจะมีวัคซีนใช้ในปี 2564 จึงต้องมีการเตรียมการภายในประเทศ คือ เมื่อรับวัคซีนมาแล้วเราจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งตรงนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโดยพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเมื่อรับวัคซีนเข้ามาแล้วจะต้องมีการบรรจุและแจกจ่าย จึงต้องมีความพร้อมตรงนี้ไว้ ซึ่งวันนี้ทุกอย่างพร้อมรับ หากวัคซีนสำเร็จ



          นอกจากเราจะนำวัคซีนแจกจ่ายประชาชนในประเทศแล้ว เรายังมีสัญญาในประเทศสมาชิกอาเซียน ว่าจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน และวัคซีนจะเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึง

           นายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องการวิจัยและพัฒนาทั้งเรื่องยาและเรื่องวัคซีน เรามีการจัดทำกองทุนและระเบียบ และในอนาคตหลังสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดแล้ว เราจะต้องเดินหน้าประเทศของเราให้มากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเราจะต้องพึ่งตัวเองให้ได้ในเรื่องของวัคซีน และจะต้องมีปริมาณวัคซีนเพียงพอกับประชาชนทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน



          สำหรับการวิจัยวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทแอสตราเซเนกา โดยผลการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 50 ซึ่งการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรก  พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 สูงถึงร้อยละ90 ส่วนแบบที่สอง พบว่า มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด -19 ที่ร้อยละ62 ค่าเฉลี่ยประสิทธิผลโดยรวมของทั้ง 2 แบบ อยู่ที่ร้อยละ70.4 และวัคซีนมีความปลอดภัยสูงด้วย



           ด้านกระทรวงสาธารณสุข กับบริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด หลังได้บรรลุข้อตกลงการจัดหาวัคซีนซึ่งพัฒนาขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Oxford ร่วมกับ บริษัท แอสตราเซเนกา โดยมอบให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตวัคซีนฝ่ายเดียวสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าส่งวัคซีนชุดแรกได้ภายในกลางปี 2564 เพราะความร่วมมือดังกล่าวหมายรวมถึงการผลิตวัคซีนในประเทศไทย ที่จะใช้โรงงานของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นแหล่งการผลิต ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงถือเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศ ลดความสูญเสีย สร้างโอกาสทางด้านเศรษฐกิจมหาศาล 

ข่าวทั้งหมด

X