ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563

26 พฤศจิกายน 2563, 08:35น.



กองปราบ แจ้ง 4 ข้อหา "บรรยิน" วางแผนหลบหนีออกจากเรือนจำ



          พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ และ อดีตรมช.พาณิชย์ ผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา คดีมีการวางแผนหลบหนีจากเรือนจำ คดีฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง



          พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. สั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.บรรยิน ที่เรือนจำบางขวาง พร้อมทนายความส่วนตัวของผู้ต้องหา เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.บรรยิน คดีมีการวางแผนหลบหนีจากเรือนจำ ข้อหาเป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำด้วยประการใดๆเพื่อให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจศาลหลุดพ้นจากการคุมขัง , ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย,ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ,หน่วงเหนี่ยวกักขัง พ.ต.ท.บรรยิน ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและไม่ขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวน ส่วนภาพรวมของสำนวนคดี ใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าสัปดาห์หน้าส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาได้



         ส่วนคดีที่ พ.ต.ท.บรรยิน และพวก ก่อเหตุอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ศาลอาญาคดีทุจริตและพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 ธ.ค.2563 เวลา 09.00 น. เช่นเดียวกับคดีฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน ศาลจังหวัดพระโขนง ได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 20 ม.ค. 2564 ส่วนคดีปลอมใบโอนหุ้น ที่ก่อนหน้านี้ทางศาลอาญากรุงเทพใต้ ตัดสินจำคุก 8 ปี ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์




ฝ่ายสืบสวน ตามจับคนร้ายชิงเงิน ธ.ก.ส. สาขาบางบอน 500,000 บาท



          การติดตามคนร้ายชายบุกเดี่ยว ใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)สาขาบางบอน ถนนเอกชัย ซอย 86 เขตบางบอน ได้เงินไปประมาณ 500,000 บาท พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เก็บหลักฐานในจุดที่เกิดเหตุ พร้อมทั้ง เปิดเผยว่า ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาคนร้าย ก่อเหตุช่วง 13.30 น. ขณะนั้น ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ มีเพียงพนักงาน พร้อมชักวัตถุคล้ายอาวุธปืนออกมา ทำให้พนักงานต่างตกใจวิ่งหนี แล้วพูดเป็นสำเนียงภาคกลางว่า “ส่งเงินมาไม่งั้นจะยิง” ก่อนจะปีนขึ้นเคาน์เตอร์ฝากถอน หยิบเงินในลิ้นชักพนักงานแล้วหลบหนีออกมาอย่างใจเย็นโดยเดินลงมาปกติ ผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.) ของธนาคารที่อยู่ชั้นล่าง แล้วเดินข้ามสะพานลอยมุ่งหน้าไปยังถนนกาญจนาภิเษก



          ร.ต.อ.ศราวุฒิ อันแสน รอง สว.(สอบสวน) สน.บางขุนเทียน เปิดเผยว่า อาคารธนาคารสูง 2 ชั้น ด้านล่างเป็นลานจอดรถ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของธนาคาร พบว่า ก่อนเกิดเหตุบริเวณเคาน์เตอร์รับฝากถอนเงินสด มีพนักงานนั่งประจำการอยู่  2 คน เป็นชาย 1  หญิง 1 ไม่มีลูกค้ารอ คนร้ายชายอายุประมาณ 50-55 ปี สวมหน้ากากอนามัยสีขาว สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาพับแขน กางเกงขายาวสีดำใส่รองเท้าหุ้มส้นสีดำ สะพายกระเป๋าสีดำแนบข้างลำตัว เดินเข้ามาในธนาคารก่อนชักอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติสีดำไม่ทราบขนาดออกมาขู่ให้พนักงานที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ลุกออกไป คนร้ายรื้อแผ่นอะคริลิคแบบใส ที่ทางธนาคารติดตั้งไว้กั้นรักษาระยะห่างระหว่างพนักงานกับลูกค้าตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ออก ก่อนกระโดดข้ามเข้าไปในเคาน์เตอร์ ดึงลิ้นชักเก็บเงิน จำนวน 2 เคาน์เตอร์ออกมา ใช้มือเปล่าที่ไม่ได้สวมถุงมือกวาดเงินสดจากภายในใส่ถุงพลาสติก และยัดลงใส่กระเป๋าสะพายเดินออกจากธนาคาร ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที



กรมราชทัณฑ์ เตือนอย่าหลงเชื่อแอบอ้างช่วยผู้ต้องขังพักโทษ



          นายสิทธิ  สุธีวงศ์  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์  เปิดเผยถึง กรณีหญิงชาวพัทลุงอายุ 77 ปี ถูกชายอายุ 37 ปี หลอกโอนเงิน 14,670 บาท อ้างว่าสามารถช่วยเหลือหลานชายอายุ 22 ปี ที่ถูกจับคดียาเสพติดให้ได้รับการพักการลงโทษ และเป็นค่าติดกำไล EM ว่า กรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าชายคนดังกล่าวมีพฤติกรรมในลักษณะนี้มาหลายครั้ง การหลอกลวงเพื่อเรียกรับเงินถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง และกรมราชทัณฑ์มีระเบียบและขั้นตอนกำหนดเกี่ยวกับการพักการลงโทษของผู้ต้องขังและการจะได้ติดกำไล EM อย่างเข้มงวด เช่น ต้องเป็นนักโทษชั้นดีขึ้นไป และต้องจำคุกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษอย่างถูกต้องและถี่ถ้วนตามหลักเกณฑ์ 




          ดังนั้น หากมีผู้ใดอ้างว่ารู้จักกับคนมีชื่อเสียง หรือมีตำแหน่งใหญ่สามารถช่วยให้พักการลงโทษได้เหมือนกรณีนี้ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่ออย่างเด็ดขาดและขอให้มั่นใจว่า กรมราชทัณฑ์ยึดหลักการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ตามหลักกฎหมายด้วยความเสมอภาค และเป็นธรรมตามหลักเกณฑ์และมาตรการที่ได้กำหนดไว้ทุกประการ อีกทั้งการดำเนินการดังกล่าวไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย



          นายสิทธิ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ไม่เคยมีนโยบายหรือแนวทางการปฏิบัติที่จะต้องให้ผู้ต้องขังหรือญาติผู้ต้องขังเสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าหน้าที่เรือนจำมีการติดต่อกับญาติของผู้ต้องขังในลักษณะดังกล่าวจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง และหากพบบุคคลใดแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำเพื่อเรียกทรัพย์สินเงินทอง ขออย่าได้หลงเชื่อโดยเด็ดขาดและขอให้เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานแจ้งให้เรือนจำต้นสังกัดทราบ หรือแจ้งกรมราชทัณฑ์ ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-967-2222



CR:กรมราชทัณฑ์




 

ข่าวทั้งหมด

X