กรณีพรุ่งนี้ (25 พ.ย.63) มีการนัดชุมนุมใหญ่ ภายใต้ชื่อ "ม็อบ 25 พฤศจิกา" ที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ รัฐบาลขอความร่วมมือกลุ่มผู้ชุมนุมให้ปฏิบัติตามกรอบกฏหมาย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกังวลว่า การชุมนุมในวันพรุ่งนี้ อาจเกิดความไม่สงบหรือเกิดความรุนแรงขึ้น หากผู้ชุมนุมไม่อยู่ในกรอบของกฏหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชุมนุมที่ตำรวจประกาศไว้ เนื่องจากการชุมนุมที่ผ่านมา ทั้งที่รัฐสภา หรือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าผู้ชุมนุมกระทำผิดกฏหมายหลายข้อ เช่น การสาดสี ฉีดสีสเปรย์ ทำลายทรัพย์สินทั้งของราชการและเอกชน รวมทั้งบุกรุกเข้าไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดเป็นเขตหวงห้าม ดังนั้นการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ รัฐบาลจึงขอความร่วมมือผู้ร่วมชุมนุมทุกคน ให้ชุมนุมด้วยความสงบ เคารพกฏหมาย ห้ามรุกล้ำเข้าไปยังเขตพื้นที่ที่ตำรวจกำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม ซึ่งทางตำรวจจะแถลงรายละเอียดพื้นที่ห้ามเข้าอีกครั้ง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า หากผู้ชุมนุมกระทำผิด ก็จำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฏหมาย เนื่องจากไทยอยู่ในนิติรัฐ นิติธรรม ทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ประกาศแล้วว่า จะยกระดับการบังคับใช้กฏหมายทุกฉบับ ทุกมาตรา เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ส่วนการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลวันพรุ่งนี้ ก็ยังดำเนินงานตามปกติ
โดยในวันพรุ่งนี้ นายกรัฐมนตรีมีภารกิจประชุมร่วมกับผู้บริหารสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ในเวลา 9.30 น. ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีตามปกติ แต่ปีนี้เนื่องจากมีสถานการณ์โควิด-19 จึงมีการประชุมกึ่งออนไลน์ คือ เจ้าหน้าที่หรือผู้แทนภาคเอกชนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว จะมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนผู้แทนหรือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในต่างประเทศ จะร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยการประชุมครั้งนี้ จะมีผู้บริหารและผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมจำนวน 89 คน จาก 38 บริษัท ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน,กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,กลุ่มสุขภาพและวิทยาศาสตร์,กลุ่มอาหารและการเกษตร, กลุ่มการผลิตและภาษี,กลุ่มการบริการทางการเงิน,กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มคมนาคม
โดยสาระสำคัญของการประชุม จะเน้นการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าอย่างไร หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมทั้งรับฟังข้อเสนอจากนักธุรกิจเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มผู้บริหารและผู้แทนภาคเอกชนจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน จะเข้าพบรัฐมนตรีในกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย