ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 12.30 น. วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563

18 พฤศจิกายน 2563, 13:36น.


ศบค.ขยายเวลาใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปถึง 15 ม.ค.64  



          ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โควิด-19 หรือ ศบค.นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยว่า ที่ประชุมศบค.ขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่ 8 เป็นเวลา 45 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2563-15 ม.ค.2564 เพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้ยังมีการแพร่ระบาดทั่วโลก ตอบรับกับเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2564 รวมทั้งการแข่งขันแบดมินตัน เวิลด์ทัวร์ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในวันที่ 12 ม.ค.2564 -31 ม.ค. 2564 ด้วย 



          ส่วนประเด็นการลดวันกักตัวยังคงกำหนด14 วันตามเดิม ส่วนที่จะลดเหลือ 10 วัน ที่ประชุมได้มีการหารืออย่างกว้างขวาง โดยได้กำหนดพื้นที่ Area Quarantine ซึ่งเข้ากักตัวในห้องพักที่กำหนดไว้ 10 วัน และอยู่ในพื้นที่กำกับติดตามใกล้ชิดอีก 4 วัน โดยสามารถติดตามได้ทางแอปพลิเคชั่น  เบื้องต้นจะกำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากกลุ่มประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเท่านั้น ได้เข้าสู่กระบวนการนี้ก่อน



สบส.พัฒนา ASQ และ ALQ กำหนดพื้นที่ตามความเสี่ยงของผู้เข้าร่วมกักตัว



          นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า มาตรฐานสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine-ASQ) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และสถานที่ควบคุมโรคทางเลือกในระดับจังหวัด (Alternative Local Quarantine-ALQ) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และประเทศไทย ซึ่งในช่วง 4 เดือนที่มีการดำเนินโครงการฯ ASQ และ ALQ ก็สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 1,200 ล้านบาท



          การประยุกต์โรงแรมสู่ ASQ และ ALQ จะต้องผ่านการตรวจมาตรฐานอย่างรัดกุมใน 6 หมวด จากกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย



1.โครงสร้างอาคารและวิศวกรรม:มีสภาพอาคาร ระบบความปลอดภัยพร้อมใช้งาน แต่ละห้องพักมีระบบปรับอากาศแยกส่วน มีระบบสื่อสารทางไกลทางการแพทย์ (Telemedicine)



2.บุคลากร:มีพยาบาลอยู่ประจำ 24 ชั่วโมง มีแพทย์ให้คำปรึกษากับผู้เข้าพักผ่านระบบการแพทย์ทางไกล



3.วัสดุ อุปกรณ์สำนักงานและอื่นๆ:มีวัสดุอุปกรณ์สำหรับผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพักอย่างเพียงพอ



4.เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล:มีเวชภัณฑ์ อาทิ แอลกอฮอล์เจล หน้ากากอนามัย ปรอทวัดไข้ ฯลฯ พร้อมให้บริการ



5.การจัดการสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรกับชุมชน:มีระบบการจัดการขยะติดเชื้อ/บำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งก่อนจะได้รับการอนุญาตให้จัดตั้งเป็นสถานกักกันฯ จะต้องมีการสร้างความเข้าใจและให้การยอมรับจากชุมชนโดยรอบ



6.โรงพยาบาลคู่สัญญาปฏิบัติการร่วมและความสะดวกสบายเพิ่มเติม



          การพัฒนามาตรฐานของสถานกักกัน ในขั้นต่อไป คณะกรรมการมีมติให้เข้มงวดและวางมาตรการให้ชัดเจนสำหรับประชาชนผู้เข้ากักกัน ในการใช้พื้นที่ผ่อนคลายและพื้นที่ออกกำลังกายเพื่อไม่ให้ผู้เข้ากักตนเกิดความเครียด โดยแบ่งผู้เข้ากักกันออกเป็น 4 ประเภทตามความเสี่ยงของประเทศต้นทางสำหรับการเข้าใช้พื้นที่อนุโลม และผู้เข้ากักตนรวมถึงผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างรัดกุม ให้มีความปลอดภัย ไม่แพร่โรคระบาดสู่บุคคลอื่น โดยมีการติดตามประเมินผลสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือกเป็นระยะจากคณะกรรมการผู้อนุมัติ



          ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรม สบส.จะเป็นผู้ประเมินโรงแรมที่สมัครเข้าร่วมเป็น ASQ และในส่วนภูมิภาคเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพิจารณาอนุมัติโดยคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้ประเมินโรงแรมที่สมัครเข้าร่วมเป็น ALQ โดยขณะนี้มี ASQ ที่ผ่านการอนุมัติจำนวน 108 แห่ง และ ALQ ที่ผ่านการอนุมัติจำนวน 32 แห่ง ตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินโควิด-19 กรม สบส. (https://www.hsscovid.com) ทั้งนี้ หากพบว่า ASQ หรือ ALQ แห่งใดหย่อนมาตรฐาน ทางคณะกรรมการผู้อนุมัติจะมีการสั่งการให้ลดจำนวนห้องพักหรือสั่งพักไม่ให้โรงแรมเปิดให้บริการ แล้วแต่กรณีความผิด หากทุกแห่งมีการรักษามาตรฐานอย่างเคร่งครัด ก็จะเป็นส่วนช่วยป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 



อุตุฯ เผย 22-24 พ.ย. อากาศเย็นลงอีก 



          น.ส.กรรวี สิทธิชีวภาค รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผย ว่า ช่วงสัปดาห์นี้บริเวณประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องด้วยมวลอากาศเย็นเริ่มอ่อนกำลังลง จากนั้นช่วงวันที่ 22-24 พ.ย. 2563 อุณหภูมิจะกลับมาลดลง เนื่องด้วยมีมวลอากาศเย็นระลอกใหม่แผ่ลงมาปกคลุม ทำให้อุณหภูมิลงอีก 2-4 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จะมีอากาศเย็น ลมโชย แต่ไม่ถึงกับมีอากาศหนาว คาดว่า ช่วงปลายเดือนธ.ค.2563 ถึงเดือนม.ค.2564 อุณหภูมิลดลง



          สภาพอากาศช่วงนี้เป็นปกติของฤดูกาล ที่จะมีทั้งมวลอากาศเย็นกำลังแรงและอ่อนกำลังสลับกัน โดยปีนี้ทั่วประเทศจะมีอุณหภูมิลดลงใกล้เคียงกับปีก่อน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณยอดดอย ยอดภู จะมีอากาศหนาวและอากาศเย็นที่ไม่สร้างสถิติใหม่ ประกอบกับในระยะนี้ กรมอุตุนิยมวิทยายังไม่พบการก่อตัวของพายุลูกใหม่



กทม.ออกเกณฑ์ มาตรการลดฝุ่น PM 2.5 




          ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เมื่อช่วง 12.00 น. เว็บไซต์ air4Thai ระบุว่า ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน และบริเวณ ริมถนนมาเจริญ เขตหนองแขม สภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ส่วนพื้นที่อื่นยังไม่มีปัญหาหรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  



          กรุงเทพมหานคร เตรียมออกข้อบัญญัติควบคุมรถบรรทุก ตั้งแต่ 6 ล้อ ขึ้นไป ห้ามเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน (วงแหวนรัชดาภิเษก) และรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก (วงแหวน กาญจนาภิเษก) ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2563 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งจะช่วยลด PM2.5 ได้ถึงร้อยละ 27



กรณีสถานการณ์ฝุ่นเข้าขั้นวิกฤต ค่าฝุ่น PM2.5 เกิน 50-75 มคก./ลบ.ม. เพิ่มมาตรการ ดังนี้



1.ปิดการเรียนการสอนครั้งละไม่เกิน 3 วัน



 2.บังคับใช้กฎหมายผู้เผาในที่โล่ง



3.งดกิจกรรมก่อสร้างทุกชนิดที่เกิดฝุ่น 



4.ห้ามจอดรถริมถนนสายหลักสายรองที่จะทำให้รถติด



 5.จัดเซฟโซนในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนกรุงเทพฯ



 6.เก็บขยะให้เสร็จก่อน 04.00 น. ป้องกันรถติด



7.ออกหน่วยบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่ หากสถานการณ์รุนแรง



ค่าฝุ่นเกิน 76-100 มคก./ลบ.ม.หรือเกิน 100 มคก./ลบ.ม.จะเพิ่มมาตรการ



1.สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้า 5-7 วัน



2.ปิดการเรียนการสอน ครั้งละไม่เกิน 15 วัน



3.บุคลากรกทม.เหลื่อมเวลาทำงาน และงดใช้รถยนต์ส่วนตัว และขอร้องหน่วยงานอื่นปฏิบัติด้วย



4.จับ-ปรับ จอดรถไม่ดับเครื่องสาเหตุเกิด PM2.5 เพิ่ม 5 เท่า



5.ใช้กฎหมายเข้มงวด ผู้เผาในที่โล่ง



6.ตรวจรถควันดำในรถไม่ประจำทางทุกคัน ในส่วนของการฉีดน้ำได้ข้อสรุปจากการหารือแล้วจะดำเนินการใน 4 แบบ คือ ล้างใบไม้, ล้างถนน,ฉีดพ่นในเขตก่อสร้างและฉีดพ่นบนอาคารสูง



บีทีเอส คาด ธ.ค. รถไฟฟ้าสายสีเขียว เปิดบริการเพิ่มอีก 7 สถานี ครอบคลุม ปทุมธานี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ



          นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในเดือนพ.ย.2563 นี้ รถไฟฟ้าบีทีเอสได้เปิดให้บริการผู้โดยสารครบ 3,500,000,000 เที่ยวคน รวมระยะทางกว่า 104,380,000 กิโลเมตร นับตั้งแต่รถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดให้บริการเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2542 จนถึงวันนี้ ก้าวสู่ปีที่ 21 บริษัท ได้ยึดมั่นมาตรฐานในการให้บริการด้านความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการจราจร และปัญหามลพิษทางอากาศ  ถึงแม้ว่าในช่วงต้นปี 2563 จะเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลกก็ตามแต่บริษัทยังคงอยู่เคียงข้างกับผู้โดยสาร



          นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2562  รถไฟฟ้าบีทีเอสได้เริ่มทยอยเปิดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต- สะพานใหม่- คูคต ได้แก่  สถานีห้าแยกลาดพร้าว , สถานีพหลโยธิน 24 , สถานีรัชโยธิน , สถานีเสนานิคม ,สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และในเดือนมิ.ย.2563 บริษัทฯ ได้เปิดสถานีเพิ่มอีก  4  สถานี ได้แก่  สถานีกรมป่าไม้ , สถานีบางบัว , สถานีกรมทหารราบที่ 11  และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ  รวมระยะทาง 58.42  กิโลเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี



          ในเดือน ธ.ค.2563 รถไฟฟ้าบีทีเอส เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มอีกจำนวน 7 สถานี ต่อจาก สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 59,สถานีสายหยุด,สถานีสะพานใหม่,สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช,สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ,สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต รวมระยะทาง 9.8 กิโลเมตร เพื่อเป็นการขยายเส้นทางส่งต่อความสุข มอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชน ช่วยลดปัญหาการจราจรโดยเฉพาะโซนด้านเหนือซึ่งเป็นประตูสู่กรุงเทพฯ เนื่องจากตลอดเส้นทางส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต มีทั้งสถาบันการศึกษา ห้างสรรพสินค้า สำนักงานราชการ หมู่บ้าน ชุมชน คาดว่าเมื่อเปิดเดินรถไฟฟ้าได้ครบเรียบร้อยแล้ว จะช่วยบรรเทาการจราจรให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เชื่อมโยงการเดินทางครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,500,000 เที่ยวคนต่อวัน อีกด้วย




 

ข่าวทั้งหมด

X