'มท.' สั่งผู้ว่าฯ 4 จังหวัดติดมาเลเซีย เพิ่มความเข้มงวดสกัด'โควิด-19'
ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้รับทราบข้อมูลสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในประเทศมาเลเซียที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยกำชับเข้มงวดจังหวัดชายแดนด้านประเทศมาเลเซียในการเฝ้าระวังบุคคลที่เดินทางเข้ามาจากประเทศมาเลเซียในช่วงเวลานี้ ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 48,520 คน เสียชีวิต 313 ราย
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการและประกาศกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านประเทศมาเลเซีย 4 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ยะลา สตูล และสงขลา เพิ่มความเข้มงวดเฝ้าระวังป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศของบุคคลจากประเทศมาเลเซียอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน หากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านจุดผ่านแดนด้านประเทศมาเลเซีย ให้รีบรายงานสถานการณ์และจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ที่สัมผัสกับบุคคลดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยทราบ
ตม.1 รวบชาวเมียนมา ปลอมดวงตราประทับของ ตม.
กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ตรวจเข้มต่างด้าวและจับกุมผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 พร้อมทั้งระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่รับผิดชอบในช่วงระหว่างวันที่ 9-15 พ.ย.2563
ผลการปฏิบัติการสามารถจับกุมผู้ที่กระทำผิดกฎหมายได้ 18 คดี ได้ผู้ต้องหาทั้งหมดรวม 21 ราย
-จับกุม น.ส.ฮองหลาย น.ส.อลิสา นายธงไช สัญชาติลาว นายอ่อง สัญชาติเมียนมา และน.ส.เอือย สัญชาติกัมพูชา รวมทั้งหมด 5 ราย ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
-จับกุม น.ส.เย็น น.ส.เฮง สัญชาติกัมพูชา นายคุน สัญชาติเมียนมา รวม 3 ราย ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
กรณีของนายคุน สัญชาติเมียนมา เจ้าหน้าที่จับได้ที่ บก.ตม.1 จากการตรวจสอบในหนังสือเดินทางอย่างละเอียดพบว่าได้มีการประทับดวงตราปลอมลงในหนังสือเดินทาง และมีการลงลายมือชื่อปลอมของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ได้สอบถามนายคุน ให้การว่าได้ส่งหนังสือเดินทางให้ชายไทยไม่ทราบชื่อดำเนินการ และจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรล่าสุดถึงวันที่ 15 ก.ค. 2561 การอนุญาตสิ้นสุด จึงได้แจ้งข้อหา ใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราที่ทำปลอมขึ้น และ เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (อยู่เกิน 484 วัน) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป
- เปรียบเทียบปรับ นายณัฎฐ์, และน.ส.จุฑาทิพย์ (สงวนนามสกุล) สัญชาติไทย รวม 2 ราย ในข้อหา เป็นเจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองเคหสถาน หรือผู้จัดการโรงแรมรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยโดยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม มาตรา 38 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง 2522
- จับกุมนายยาน นายซิ นายไซ สัญชาติเมียนมา น.ส.ตลือ นายที นายพอล น.ส.สุภานิล สัญชาติกัมพูชา นางเอ สัญชาติเมียนมา รวมทั้งหมด 8 ราย ในข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
-จับกุมข้อหาอื่นๆ จำนวน 3 ราย
เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ดัชนีอุตสาหกรรม ขยับขึ้น 6 เดือนต่อเนื่อง เอกชนกังวลโควิด-19 รอบ 2
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 86.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.2 ในเดือนก.ย. 2563 ค่าดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าคงทน ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภคสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้าง
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกที่มีความรุนแรงขึ้น หลายประเทศในยุโรปประกาศล็อกดาวน์รอบ 2 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ มีแนวโน้มลดลง รวมทั้งการปิดด่านการค้าชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีความล่าช้า ขณะเดียวกันผู้ประกอบการ SMEs บางรายยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเนื่องจากยอดขายสินค้าลดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยอดขายยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนการระบาด อีกทั้งสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,333 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนต.ค. 2563 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 66.9, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ร้อยละ 57.1,อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯร้อยละ 44.2 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 38.4 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลงได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 37.7
สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 91.9 จากระดับ 93.3 ในเดือนก.ย.2563 จากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของไทย ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการส่งออกลดลง ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจการประสบปัญหาขาดสภาพคล่องโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
ขณะที่ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1.ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วัน หลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน 3.เร่งผลักดันโครงการลงทุนและโครงการก่อสร้างของภาครัฐทุกโครงการที่ได้วางแผนไว้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ