ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2563

17 พฤศจิกายน 2563, 08:49น.


สบน.เตรียมกู้เงินเพิ่ม รองรับโครงการคนละครึ่งเฟส 2



          นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ขณะนี้การกู้เงินตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.ก.) กู้เงินฉุกเฉิน 1,000,000 ล้านบาท ในส่วนของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 40,000 ล้านบาท มีการกู้เงินไปแล้วทั้งสิ้น 338,000 ล้านบาท เหลือเงินกู้ที่สามารถนำมาใช้ไม่ถึง 10,000 ล้านบาท ดังนั้น สบน.จะต้องกู้เงินเพิ่มหากกระทรวงการคลังจะดำเนินการโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 (เฟส 2) โดยจะเป็นการทยอยกู้ตามความต้องการใช้ตามนโยบายของรัฐ



          มาตรการคนละครึ่งของรัฐบาลได้รับกระแสตอบรับดีและกำลังจะมีเฟส 2 ความต้องการการใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่ง สบน. มีตารางการกู้เงินอยู่ โดยจะเป็นการทยอยกู้ไม่ได้กู้เป็นก้อนใหญ่ทีเดียว ส่วนโครงการคนละครึ่งเฟสแรกตอนนี้ยังใช้เงินกู้ที่มีอยู่ก่อน หลังจากนี้ สบน.เตรียมความพร้อมด้วยการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูปริมาณการใช้เงิน



CR: Patricia Mongkhonvanit



รมว.พลังงาน ตั้งเป้าหมายปีหน้าเปิดประเทศดึงดูดการลงทุน



          นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลจะเริ่มเปิดประเทศปีหน้า โดยพิจารณาอย่างรอบคอบตามมาตรการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งเป้าหมายว่า ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการดึงดูดการลงทุน ปฏิบัติตามแผนการทำงานในเชิงรุก ประกอบกับการที่ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดการลงทุน เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้ดี เร็วขึ้น ทั้งนี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเป็นสิ่งสำคัญด้วย



          ส่วนตัวเลขที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) รายงานว่าจีดีพี ไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ติดลบร้อยละ 6.4 เป็นการประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ที่ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ และจะส่งผลให้ไตรมาส 4 ดีขึ้นตามลำดับและตามซีซั่น พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า ปี 2563 จะอยู่ที่ติดลบร้อยละ6.7 จากเดิมที่หลายฝ่ายประเมินว่าอาจติดลบร้อยละ 9-12 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีความกังวลงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐปี 2564 จะต้องได้ร้อยละ 98 ของงบประมาณรายจ่ายนั้น มองว่า รัฐบาลต้องเร่งรัดประคองรายได้จากภาคการท่องเที่ยว กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และส่งออก

ราคาน้ำมันมีแนวโน้มขยับขึ้น ขานรับวัคซีนโควิด-19



          แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (16 - 20 พ.ย. 2563) มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้



-ความคืบหน้าการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตในเร็วนี้ได้หรือไม่ โดยบริษัท Pfizer และ BioNTech ซึ่งประสบความสำเร็จในการทดลองวัคซีนต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูงถึงร้อยละ 90 เตรียมจะยื่นขอใบอนุญาตต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ(FDA) แบบเร่งด่วนสำหรับการผลิตวัคซีนในเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดจะรู้ผลภายในสิ้นเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของวัคซีนคือการผลิตและการขนส่ง ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากการขนส่งต้องทำการขนส่งภายใต้อุณหภูมิติดลบ 94 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ ลบ 34.44 องศาเซลเซียส ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง นำโดยสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่มยุโรป ส่งผลให้หลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งในเดือนนี้ เพื่อยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กดดันให้ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาวมีแนวโน้มปรับลดลง 



-การประชุมระหว่างกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (โอเปกพลัส) มีแนวโน้มขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ระดับ 7,700,000 บาร์เรลต่อวันต่อเนื่องออกไปอีก 3-6 เดือนจากเดิมที่สิ้นสุดในปีนี้ หลังตลาดน้ำมันดิบยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากอุปสงค์ที่ยังคงเปราะบางจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และอุปทานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากลิเบีย  ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผลิตจะมีการประชุมอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. 2563



-ปริมาณน้ำมันดิบในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงหลัง S&P Global Platts คาดว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังมีแนวโน้มปรับลดลงจากโรงกลั่นในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า รวมถึง ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับจำกัด  



-การผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบของลิเบียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,200,000 บาร์เรล และมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้ถึงระดับ 1,300,000 บาร์เรล หลังจากที่สามารถเปิดดำเนินการแหล่งผลิตและท่าเรือขนส่งน้ำมันดิบหลักในประเทศได้หมดแล้ว 



'อาร์เซ็ป'หนุนอาหารสัตว์เลี้ยง-ทูน่า โตเพิ่มขึ้นอีก 10%



          นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย กล่าวถึง การบรรลุความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ว่า อุตสาหกรรมทูน่าไทยส่งออกปีละกว่า 80,000 ล้านบาท ตลาดสำคัญคือญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง แม้สินค้าประมงไทยจะส่งออกได้ปริมาณมากจากข้อตกลงเขตเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) แต่ยังติดขัดเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า ทำให้ผู้ส่งออกต้องอาศัยสิทธิการส่งออกภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงทางการค้าต่างๆ มาช่วย แต่หลังจากข้อตกลงอาร์เซ็ปมีผลบังคับใช้ข้อจำกัดก็หมดไปทำให้การส่งออกได้มากขึ้น หลังจากนี้อุตสาหกรรมทูน่าไทยน่าจะเติบโตปีละร้อยละ 10

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พร้อมเยียวยาผลกระทบจากการเปิดเสรีอาร์เซ็ป



          นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีภายใต้อาร์เซ็ป ในความตกลงกำหนดให้แต่ละประเทศสามารถใช้มาตรการเยียวยาทางการค้าได้ ซึ่งไทยมีหลายมาตรการที่จะใช้ปกป้องและลดผลกระทบให้กับผู้ประกอบการไทยได้ ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) อีกทั้งยังมีกองทุนเพื่อการปรับตัวจากการเปิดเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เกษตรกร และผู้ประกอบการจะสามารถใช้ได้ รวมถึงกองทุนเอฟทีเอ ที่กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการจัดตั้งด้วย



          นางอรมน กล่าวว่า ได้เริ่มหารือกับผู้ประกอบการในหลายกลุ่มสินค้าที่เกรงจะได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจากสมาชิกอาร์เซ็ปแล้ว เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งผู้ประกอบการแจ้งว่า หากรัฐจะใช้มาตรการเยียวยาทางการค้า พร้อมให้ข้อมูลผลกระทบเต็มที่



          สินค้าที่ผู้ประกอบการของไทย เกรงจะได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ไทยเปิดเสรีให้กับสมาชิกอาร์เซ็ปเพิ่มขึ้นจากที่เปิดเสรีในเอฟทีเออาเซียน+1 เช่น



-เปิดให้จีนเพิ่มเติมในสินค้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไฟฟ้า ไฟติดหมวก



-เปิดให้ญี่ปุ่นเพิ่มในสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์



-เปิดให้เกาหลีเพิ่มในสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ พัดลม เครื่องแต่งกาย สิ่งทอ 



          ความตกลงจะมีการทบทวนทุกๆ 5 ปี สำหรับการเปิดรับสมาชิกใหม่ กำหนดให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ไปแล้ว 18 เดือน จึงจะเปิดรับสมาชิกใหม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายประเทศแจ้งความประสงค์จะขอเข้าร่วม เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X