ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2563
ศบค.ชุดเล็กเสนอต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 45 วัน ครอบคลุมปีใหม่ 2564
ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบค.ชุดเล็ก ซึ่งมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) เป็นประธาน ช่วงสายวันนี้ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ออกไปอีก 45 วัน ถึงวันที่ 15 ม.ค.2564 เพื่อใช้เป็นกลไกในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ส่วนเหตุผลการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปถึง 45 วัน ทั้งที่เดิมจะขยายครั้งละ 30 วันนั้น เหตุผลหลักคือ ต้องการประกาศให้ครอบคลุมช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายประชากรจำนวนมากในการเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยว ในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ หากขยายระยะเวลาบังคับใช้ 30 วัน จะทำให้ต้องมาประชุมเพื่อพิจารณาขยายอีกครั้งในกลางเดือนธ.ค. ซึ่งงานช่วงนั้นค่อนข้างแน่น จึงประกาศขยายระยะเวลา 45 วันไปเลยในคราวเดียว
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเน้นย้ำเรื่องป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 บริเวณชายแดน ให้เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติ เนื่องจากจะมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากต้องการเดินทางเข้า-ออกช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ โดยให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในฐานะ ศบค.จังหวัด ประสานดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้เหตุผลการขยายระยะเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะมีเหตุผลเรื่องของกลไกป้องกันโควิด-19 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง แต่มีความเป็นห่วงเรื่องการชุมนุมที่เป็นการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก อยากให้มีมาตรการป้องกันโควิด-19 ให้เข้มงวดมากขึ้น จึงขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปประสานในเรื่องนี้ รวมถึงการสวมหน้ากาก การตะโกนให้ระมัดระวังมากขึ้น
โจ ไบเดน เตรียมพบบริษัทผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ในสัปดาห์นี้
นายรอน เคลน หัวหน้าคณะทำงานของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทีมที่ปรึกษาด้านโรคโควิด-19 ของนายไบเดน จะพบปะหารือกับบรรดาบริษัทผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ในสัปดาห์นี้นายเคลน ซึ่งเป็นอดีตผู้ประสานงานในการรับมือกับโรคอีโบลาของทำเนียบขาวในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวในรายการ “Meet the Press” ของสถานี NBC ว่า ทีมของนายไบเดนจะยังไม่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานของรัฐบาลกลางได้จนกว่าสำนักบริหารงานบริการทั่วไปของสหรัฐฯ (General Services Administration – GSA) จะรับรองกระบวนการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ทีมงานจะพบปะหารือกับบริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำที่มีการทดลองวัคซีนโควิด-19 ทางคลินิกในเฟสสุดท้าย เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
สำหรับการผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนจะเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของคณะทำงานของนายไบเดนเมื่อเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.2564 ความเคลื่อนไหวของทีมงานนายไบเดนครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากไฟเซอร์แถลงว่า ผลการทดลองบ่งชี้ว่า วัคซีนที่ไฟเซอร์พัฒนาร่วมกับ BioNTech มีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ90 ในการป้องกันไวรัสสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน และบริษัทจะจดทะเบียนวัคซีนต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในสัปดาห์หน้า และคาดว่าจะมีการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดสภายในปีนี้ และ 1,300 ล้านโดสในปีหน้า
คุณย่าเตรียมจัดงานวันคล้ายวันเกิดให้หลานชาย ปลอบขวัญหลังสูญเสียพ่อแม่เพราะโควิด-19ในรัฐเท็กซัส
นางโรซี ซาลินัส ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ และเป็นคุณย่าของด.ช.ไรเดน กอนซาเลซ เปิดเผยกับรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี นิวส์ของสหรัฐฯ ว่า หลานชายจะมีอายุครบ 5 ขวบ ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ แต่พ่อแม่ของเขาไม่มีโอกาสอยู่ฉลองวันเกิดของลูกชาย ระบุว่า นางมาเรียห์ ลูกสาวของเธอวัย 29 ปี คุณแม่ของหลานชายเพิ่งเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เมื่อต้นเดือนต.ค.2563 หลังจากสามีคือนายอาดัน อาชีพขับรถบรรทุกวัย 33 ปี เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2563 ยอมรับว่าเธอเศร้าที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปสองคน แต่เธอจะทำหน้าที่เสมือนเสาหลักคอยดูแลหลานให้เติบโตต่อไป
นางซาลินัส กล่าวว่า หลานชายคิดถึงคุณแม่ของเขามากเนื่องจากผูกพันกับคุณแม่มาก หลานชายเพิ่งบอกเธอเมื่อเช้านี้ว่าเขาอยากให้คุณแม่กลับมาหา นางซาลินัส กล่าวว่า เธอได้แต่บอกกับหลานชายว่าคุณพ่อและคุณแม่ของหนูตอนนี้เป็นเทพบุตร เทพธิดาบนฟ้า คอยเฝ้าดูแลและคุ้มครองพวกเราอยู่
แม้ว่าครอบครัวนี้ ยังเสียใจต่อการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว 2 คน แต่นางซาลินัส ต้องการจะจัดงานฉลองวันเกิดให้หลานชายในวันที่ 28 พ.ย.นี้ ให้มีความสุข สนุกสนานมากเท่าที่จะทำได้ เธอวางแผนจะจัดงานฉลองวันเกิดให้กับหลานชาย โดยจัดขบวนแห่ไปตามท้องถนน ประกอบด้วยรถบรรทุก รถจักรยานยนต์ รถฟอร์ดรุ่นมัสแตงค์ รถโบราณและปิดท้ายด้วยรถดับเพลิง
รองนายกฯ-รมว.พาณิชย์ เชื่อไทยได้ประโยชน์ หลังลงนามหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยในงานปาฐกถาพิเศษ “การประกาศความสำเร็จการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)” ว่า มั่นใจว่า RCEP จะทำให้ไทยได้ประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งเรื่องการส่งออกสินค้า บริการ และการลงทุนสินค้าของไทยที่มีจุดแข็งอย่างสินค้าเกษตร ให้บุกตลาดอีก 14 ประเทศได้ อย่างมันสำปะหลัง แป้งมัน ยางพารา ประมง อาหาร ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการผลักดัน “อาหารไทยเป็นอาหารโลก” และทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับต้นๆ ของโลก และอันดับหนึ่งของโลกได้ในอนาคต จากปัจจุบันอยู่อันดับ 11 ของโลก
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์อีก เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องแต่งกาย มอเตอร์ไซค์ รวมถึงภาคบริการและการลงทุน อย่างธุรกิจบริการก่อสร้าง ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพที่ไทยมีศักยภาพมาก รวมถึงธุรกิจคอนเทนต์ อย่าง ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เกม เป็นต้น อีกทั้งความตกลงยังก่อให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างสมาชิก ซึ่งยังไม่มีในความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน+1 เลย เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันทางการค้า การส่งเสริมและคุ้มครองวิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) และความร่วมมือในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ
โดยหลังจากลงนามความตกลงไปแล้ว ไทยต้องเร่งเตรียมตัว และปรับตัว เพื่อรองรับความตกลงดังกล่าว เพราะมีเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รวมถึงเร่งศึกษากฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้ปรับตัวและใช้ประโยชน์ได้ ปัญหาการเมืองไทยในขณะนี้ ไม่กระทบต่อการเดินหน้ากระบวนการให้สัตยาบันแน่นอน เชื่อว่าทุกฝ่ายจะเห็นต่อผลประโยชน์ส่วนรวม เพราะหากไม่สำเร็จ ก็จะส่งผลกระทบทางการค้าของไทย
ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า สินค้าที่ผู้ประกอบการของไทยเกรงจะได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ไทยเปิดเสรีให้กับสมาชิก RCEP เพิ่มขึ้นจากที่เปิดเสรีในเอฟทีเออาเซียน+1 เช่น เปิดให้จีนเพิ่มเติมในสินค้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไฟฟ้า ไฟติดหมวก, เปิดให้ญี่ปุ่นเพิ่มในสินค้า ชิ้นส่วนยานยนต์, เปิดให้เกาหลีเพิ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ พัดลม เครื่องแต่งกาย สิ่งทอ อย่างไรก็ตาม ความตกลงดังกล่าวจะมีการทบทวนทุก 5 ปี สำหรับการเปิดรับสมาชิกใหม่ กำหนดให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ไปแล้ว 18 เดือน จึงจะเปิดรับสมาชิกใหม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายประเทศแจ้งความประสงค์จะขอเข้าร่วม เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน
หุ้นไทยปิดตลาดภาคบ่ายเจอแรงเทขาย รอรับผู้ชุมนุมพรุ่งนี้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดวันนี้ที่ระดับ 1,351.06 จุด เพิ่มขึ้น 4.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 78,504.00 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตาม Sentiment ต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่นเดียวกับตลาดยุโรป และดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ตอบรับการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทีมงานของ"ไบเดน"ไม่มีแผนล็อกดาวน์ทั่วสหรัฐ ทำให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ในช่วงบ่ายดัชนีฯได้ลดลงจากแรงขาย ทำกำไรของหุ้นเป็นรายกลุ่มออกมา ก่อนเผชิญการชุมนุมทางการเมืองในวันพรุ่งนี้ และยังจะมีการประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ยังมีปัจจัยต้องติดตามความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของสหรัฐจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ชะลอออกไปนั้นจะสามารถออกมาได้เมื่อไร ส่วนบ้านเราให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม แต่ต้องติดตามการส่งสัญญาณเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 29 ปีในวันนี้ ขานรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDPของญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าร้อยละ20 ในไตรมาส 3/2563 ดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้น 521.06 จุด ปิดที่ 25,906.93 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย. 2534
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งของสหรัฐฯเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับ 15 ชาติเอเชีย ร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ดัชนีฮั่งเส็งปิดวันนี้ที่ 26,381.67 จุด เพิ่มขึ้น 224.81 จุด
นายกรัฐมนตรี ย้ำ ยังไม่ท้อ ทำงานต่อ
หลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิดเผยถึงกำลังใจในการทำงานหลังจากที่มี ปัญหาแล้วจำนวนมากในขณะนี้ รวมถึงมีข่าวว่านายกฯปรารภว่า อยากจะลาออกแต่ก็ออกไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ว่า “ทำไม มารู้ใจฉันได้อย่างไร วันนี้ไม่ต้องมาอ่านใจฉันหรอก มันเป็นเรื่องของใจฉัน ก็ยังทำงานอยู่นี่ไง ทำงานอยู่นี่ ไม่มีคำว่าท้อแท้ แต่ก็ผอมลงหน่อยเท่านั้นแต่ไม่ได้เป็นโรคอะไรทั้งสิ้น ยังแข็งแรง ทั้งกาย และใจ เพราะทำเพื่อคนอื่น และอย่างไรก็ต้องทำจนกว่าจะไม่ได้ทำก็เท่านั้นเอง” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้อยากร้องเพลงอะไร พล.อ.ประยุทธ์ นิ่งคิดสักครู่ก่อนจะกล่าวว่า “ เพลงแผ่นดินของเรา พอแล้ว ไม่มีอะไรกังวล”
พรรคพลังประชารัฐ - พรรคฝ่ายค้านหนุน รับร่างแก้ไขรธน.ทั้ง 7 ฉบับ
มติพรรคพลังประชารัฐยืนยันตามมติวิปรัฐบาล คือ รับหลักการในร่างที่ 1 ของนายสมพงษ์ อมรวิฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและคณะเป็นผู้เสนอ และร่างที่ 2 ของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลและคณะเป็นผู้เสนอ ส่วนร่างที่ 3-6 งดออกเสียง เพราะเนื้อหาครอบคลุมเหมือนกับร่างที่ 1 และ 2 แล้ว สำหรับร่างที่ 7 ของกลุ่มไอลอว์ จะขอฟังจากสมาชิกทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ส.รัฐบาล และ ส.ว. ก่อนจะตัดสินใจในการลงมติอีกครั้ง ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ โดยแบ่งเวลาการพิจารณา โดยวันที่ 17 พ.ย. นี้ จะเริ่มต้นพิจารณา 09.30 น. พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก่อนรับหลักการ ทั้ง 6 ฉบับ โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง
จากนั้นจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ โดยจะไม่มีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ร่างก่อนหน้านี้ เพราะมีการอภิปรายไปก่อนหน้านี้แล้วในวันที่ 23-24 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยวุฒิสภาจะใช้เวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง ส.ส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาลใช้เวลารวมกัน 5 ชั่วโมง ขณะที่ผู้ชี้แจงของไอลอว์ใช้เวลา 1 ชั่วโมงโดยจะใช้เวลาพิจารณาทั้งหมดรวมเวลาของประธานสภาด้วย 17 ชั่วโมง
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ถึงผลการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน กรณีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ญัตติ ในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ โดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่าจะสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ โดยเฉพาะในส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ ถือว่าเป็นร่างที่มาจากประชาชน ในฐานะผู้แทนที่มาจากประชาชน จึงต้องรับร่างดังกล่าว นอกจากนี้ยังมองว่า ร่างของไอลอว์มีหลักการเดียวกับร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงไม่มีส่วนใดที่ขัดกับกฎหมาย
ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก ‘จุฑามาศ’ 50 ปี -ลูกสาวคุก 40 ปี ทุจริตแต่ไม่ริบทรัพย์
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีทุจริตเงินสินบนจัดเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพฯ พิพากษายืน ให้จำคุกนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 46 ปี บุตรสาว โดยให้จำคุกนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 รวม 11 กระทงๆ ละ 6 ปี เป็นจำคุก 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี ส่วน น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 บุตรสาว จำคุกรวม 11 กระทงเช่นกัน กระทงละ 4 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 44 ปี และให้ยกคำสั่งริบทรัพย์ของศาลชั้นต้นที่ให้ริบเงินที่เป็นการกระทำผิดซึ่งเป็นเงินในบัญชีต่างประเทศกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 62,724,776 บาท
เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ เพราะคดีนี้อัยการโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ริบของกลางหรือเงินใด ๆ ไว้ท้ายฟ้อง และบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 52 บัญญัติ ให้บรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับนั้น ให้บังคับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อน ดังนั้นคดีนี้จึงต้องใช้บทบัญญัติกฎหมายคดีอาญาสามัญ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่นำมาตรการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ก็ตาม ตามมาตรา 31(2) , มาตรา 32(2) และมาตรา 33 วรรคหนึ่งนั้นมาใช้กับคดีนี้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์