วันนี้ (14 พ.ย.63) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 12 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยการประชุมครั้งนี้ มีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน จากเวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และนายซูกะ โยชิฮิเดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เข้าร่วมประชุม
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำกับที่ประชุม ถึงความสำคัญในความร่วมมือระหว่างประเทศในลักษณะพหุภาคีและความเป็นหุ้นส่วนกัน เพื่อรับมือกับโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และอนุภูมิภาค โดยสิ่งที่ควรเร่งดำเนินการ คือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ด้วยการวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ โดยเสนอความร่วมมือ 3 ประการ คือ
1. ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ทำให้อนุภูมิภาคบรรลุระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้เข้าถึงยาและวัคซีนที่เท่าเทียมในราคาสมเหตุสมผล
2. สร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยไทยเน้นให้ความสำคัญกับระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการสะพานไทยเชื่อมโยง EEC กับเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) และ โครงการ Land Bridge เชื่อมโยงถนนระหว่างท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ซึ่งญี่ปุ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการฯ ได้ รวมทั้งความสำคัญของความเชื่อมโยงทางกฎระเบียบและความเชื่อมโยงทางดิจิทัล
3. ส่งเสริมการพัฒนาระดับรากหญ้าอย่างยั่งยืน โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่น ในการจัดเวทีหารือกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ด้านระบบเศรษฐกิจแบบใหม่และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรอบความร่วมมือ ACMECS ที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจว่า กัมพูชาจะจัดการประชุมในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ผ่านระบบการประชุมทางไกล และย้ำว่า ACMECS Master Plan จะยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยง 3 ด้าน แต่ในขณะที่โลกยังเผชิญกับโรคโควิด-19 แผนงานจึงจะเน้นด้านสาธารณสุขและห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงาน ยินดีรับสมาชิกใหม่ได้แก่ นิวซีแลนด์ และอิสราเอล
ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องเร่งสร้างความเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค กลไกความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นจะช่วยขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์ของภูมิภาค โดยญี่ปุ่นได้สนับสนุนทั้งเงินทุน ทักษะ โครงการ และการพัฒนาศักยภาพของชุมชน นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน นับเป็นเรื่องสำคัญและสามารถร่วมมือกันได้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง รวมทั้ง ยังจะมีข้อริเริ่มใหม่ๆเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในอนาคต