การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะติดลบ ร้อยละ 8 จากผลกระทบโควิด-19 หากเทียบกับวิกฤตในอดีตต่างกันมาก เพราะขณะนี้กระทบหนักคือภาคท่องเที่ยวที่มีการจ้างงานถึงร้อยละ20 ทำให้ดูว่าปัญหากระทบหนัก แถมโดนซ้ำด้วยหนี้ครัวเรือนที่สูงก่อนโควิด-19ที่ในวันนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 84 จากเดิมร้อยละ80
ส่วนยอดตกงานแม้พูดถึง 7-8 แสนคน แต่ยังมีอีกมากที่ไม่สะท้อนข้อมูลที่แท้จริง เพราะมีคนที่ทำงานน้อยกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อีกจำนวนมาก หากรวมจำนวนนี้เข้าไป 2 ล้านคน ทำให้ยอดแรงงานที่ได้รับผลกระทบอาจสูงถึง 3 ล้านคน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงมั่นใจว่า ปัญหารอบนี้แก้ได้ แต่ต้องใช้เวลา และต้องแก้แบบถูกจุด เพราะหากพยายามแก้แบบเหวี่ยงแหจะไปสร้างผลข้างเคียงที่ไม่ดี โดยจะไปสร้างผลข้างเคียงให้เกิดปัญหาเพิ่มเติม และทำให้การแก้ไขปัญหาลำบากขึ้น ดังนั้น ต้องแก้แบบที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาถูกใจ หรือแก้แบบป็อปปูลาร์โหวตเช่น การออกมาตรการของ ธปท.ในช่วงที่ผ่านมาทุกคนช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาตรการที่ออกมาช่วงแรกจะเป็นลักษณะการปูพรม เหมาเข่ง โดยพักหนี้ (Debt Holiday) เป็นการทั่วไปเป็นเวลา 6 เดือน และมาตรการได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ดังนั้น หาก ธปท.ต่อมาตรการแบบปูพรมต่อ มองว่า ไม่ใช่วิธีที่แก้ปัญหาถูกต้อง แม้จะถูกใจ เพราะจะกลายเป็นซ้ำเติม และยิ่งสร้างปัญหา สร้างผลข้างเคียงที่ไม่ดี
แต่ปัจจุบันเริ่มมีการคลายล็อกดาวน์ กิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ทำให้มีลูกหนี้บางส่วนกลับมาชำระหนี้ได้ และไม่ได้บ้าง ดังนั้นต้องแยกแยะคนชำระได้และคนชำระไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้เกิดวัฒนธรรมในการผิดนัดชำระหนี้ (Moral Hazard) จนอาจนำไปสู่การเกิดหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลได้ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาอีกด้าน รวมถึงการพักหนี้แบบเหมาเข่ง จะทำให้กระแสเงินสดจากเจ้าหนี้หายไป ทำให้ความเข้มแข็งของฝั่งธนาคารกลายเป็นอ่อนแอลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี โดย ธปท.พยายามทำใน ‘สิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าถูกใจ’