พายุเอตาว ทำให้ฝนตกในเวียดนาม-กัมพูชา-อีสานตอนล่างและภาคตอ.ของไทย
พายุโซนร้อนเอตาว (พายุระดับ 3) จะส่งผลกระทบกับประเทศเวียดนาม กัมพูชา และในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกของไทย กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าวันนี้พายุจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน (พายุระดับ 2) เมื่อเคลื่อนไปที่กัมพูชา จากนั้น จะลดกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำจะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางอ้อม
สำนักงานการจัดการภัยพิบัติเวียดนาม ระบุว่า พายุเอตาว เป็นพายุลูกที่ 12 ที่พัดถล่มเวียดนามในปีนี้ และเฉพาะในเดือนต.ค.2563 พื้นที่ภาคกลางของประเทศเผชิญกับฝนตกหนัก น้ำท่วมใหญ่ และดินถล่มหลายระลอกจากอิทธิพลของพายุ 4 ลูก ทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายอย่างน้อย 235 ราย บ้านเรือนประชาชนเกือบ 390,000 หลัง ถูกน้ำท่วมเสียหาย
เส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุเอตาว กำลังมุ่งตรงมาที่ชายฝั่งภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม ทำให้จังหวัดที่อยู่ระหว่าง จ.กว๋างจิ และ จ.แค็งฮว้า จะมีฝนตกหนัก มีปริมาณฝนมากถึง 400 มิลลิเมตร ระหว่างวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี ส่วนทะเลในบริเวณจ.กว๋างหงาย และ จ.นีงทวน จะมีคลื่นสูง 3-5 เมตร ขณะที่จังหวัดต่างๆ ในช่วงระหว่างจ.กว๋างบิ่ง จ.แค็งฮว้า และเขตที่สูงภาคกลางคาดว่าจะเผชิญกับน้ำท่วมรอบใหม่
‘ไบเดน’ ชู 4 เรื่องพร้อมทำทันที ด้าน ‘ทรัมป์’ เตรียมฟ้องโกงการเลือกตั้ง
การเตรียมความพร้อมในการทำงานในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯของนายโจ ไบเดน และนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มประชุมทีมงานที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 และเปิดเว็บไซต์สำหรับการถ่ายโอนอำนาจ ที่ใช้ชื่อว่า BuildBackBetter.com และฟีดทวิตเตอร์ @Transition 46
เว็บไซต์นี้ นายไบเดน ระบุเป้าหมายสำคัญ 4 อันดับแรกที่จะแก้ไขเยียวยา ได้แก่
-การแก้ปัญหาโรคโควิด-19 โดยจะมีการตั้งทีมงานประมาณ 12 คน
-การฟื้นเศรษฐกิจ
-ความเท่าเทียมด้านเชื้อชาติ
-การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประกาศว่าจะกลับเข้าร่วมเป็นสมาชิกในข้อตกลงปารีสเพื่อลดภาวะโลกร้อน
ด้านนายทรัมป์ ออกเล่นกอล์ฟ ใกล้กรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นสนามเดียวกับที่ไปเมื่อวันเสาร์ 7 พ.ย.2563 ตอนที่สื่อในสหรัฐฯ พากันประกาศฟันธงว่านายไบเดน สามารถคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้ครบตามเกณฑ์ในการเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งแล้ว เมื่อตอนเช้าวันอาทิตย์ 8 พ.ย.2563 นายทรัมป์ ยังคงทวีตข้อความว่า “สื่อเชยๆ มีหน้าที่ประกาศชื่อประธานาธิบดีคนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
นายรูดี้ จูเลียนี ทนายความส่วนตัวของนายทรัมป์ เปิดเผยกับรายการซันเดย์ มอร์นิ่ง ฟิวเจอร์ส ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ทีมหาเสียงของนายทรัมป์ มีแผนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐเพนซิลเวเนียในข้อหาละเมิดสิทธิพลเมืองด้วยการจัดการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นกลางและละเมิดกฎหมายของรัฐ และจะตามด้วยรัฐมิชิแกนหรือรัฐจอร์เจียเป็นอันดับต่อไป
นางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ทวีตข้อความว่า ชาวอเมริกันควรได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งที่เป็นธรรมและควรนับบัตรเลือกตั้งที่ถูกกฎหมายทั้งหมด ไม่ใช่บัตรที่ผิดกฎหมาย
ขณะที่ การนับคะแนนยังไม่ครบถ้วนทั้งหมด คาดการณ์กันว่านายไบเดน ได้คะแนนจากผู้ออกเสียงรวม74.6 ล้านคะแนน ส่วนนายทรัมป์ได้ 70.4 ล้านคะแนน
ส่วนคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ นายไบเดนได้ 279 คะแนน ส่วนนายทรัมป์ได้ 214 คะแนน
นอกจากนั้นนายไบเดนยังมีคะแนนนำในรัฐอริโซนาที่มีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 11 คะแนน และรัฐจอร์เจีย 16 คะแนน ซึ่งหากชนะทั้งสองรัฐ นายไบเดนจะได้ 306 คะแนน เท่ากับที่นายทรัมป์เคยเอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ก.คลัง ชี้นโยบายของ ‘ไบเดน’หนุนเศรษฐกิจไทย ปัญหาจีน-สหรัฐฯผ่อนคลายลง
ไทยจะได้ประโยชน์อะไรเมื่อนายไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เมื่อนายไบเดน ชนะการเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก เนื่องจากนายไบเดน มีมาตรการที่จะดูแลปัญหาการขาดดุลการค้าแต่จะปรับมาตรการให้นุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับนายทรัมป์ ขณะเดียวกัน ปัญหาสงครามการค้าจะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะได้อานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว นายไบเดน จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ จะเป็นตัวช่วยเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ นโยบายการขึ้นค่าแรงของนายไบเดน อาจจะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯมายังประเทศอื่นได้ ซึ่งอาจจะเป็นผลดีกับไทยด้วย ขณะเดียวกัน ในด้านเงินทุนไหลออกจากมาตรการขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 28 อาจจะกระทบให้บริษัทที่ลงทุนในสหรัฐฯนำเงินไปลงทุนในประเทศเกิดใหม่มากขึ้น
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า นโยบายของนายไบเดน สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างประเทศมากกว่าเมื่อเทียบกับนายทรัมป์ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนข้อตกลงทางการค้าในองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ที่นายทรัมป์ ไม่สนใจ
ปัญหาระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะผ่อนคลายลงจะเจรจาและร่วมมือกันมากขึ้น ซึ่งจะดีกับไทยเนื่องจากมีสินค้าหลายรายการที่มีห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงอยู่ ธุรกิจต่างๆจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทันทีที่นายไบเดน รับตำแหน่ง 100 วันแรก มั่นใจว่าจะแก้ไขโควิด-19 ซึ่งนายทรัมป์ไม่เคยดูแลและไม่คิดจะแก้ไข หากสหรัฐฯคุมการระบาดได้เศรษฐกิจจะฟื้นแน่นอน
หนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ของจีน มองว่า กรุงปักกิ่ง ของจีน ควรจะหาวิธีสื่อสารกับทีมงานของนายไบเดน อย่างรอบคอบระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะยอมรับว่า สหรัฐฯ คงไม่ผ่อนคลายแรงกดดันที่มีต่อจีนในเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหาสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียงอุยกูร์และฮ่องกงก็ตาม จีนจะต้องเป็นชาติที่สหรัฐฯ ไม่สามารถกดขี่หรือบ่อนทำลายได้อีกต่อไป และเราต้องทำให้พวกเขาตระหนักว่าการร่วมมือกับจีนคือหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์
ด้านหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี ตีพิมพ์บทบรรณาธิการ ระบุว่า เป็นที่ชัดเจนว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ควรเริ่มที่ประเด็นการค้า ดังนั้น การเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความเข้าใจและเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
ความตึงเครียดระหว่างชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 และ 2 ของโลก ยกระดับรุนแรงขึ้นตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา นอกจากจะกระทบความสัมพันธ์ทางการค้าแล้ว ยังทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดสงครามการเงินขึ้นด้วย
รัฐทมิฬนาฑู อินเดีย จุดพลุฉลอง ภูมิใจกับว่าที่รองปธน.สหรัฐฯ “กมลา แฮร์ริส”
หมู่บ้านในรัฐทมิฬนาฑู ของอินเดีย ในสมัยที่ตาของนางแฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยพักอาศัยอยู่ ได้จุดพลุดอกไม้ไฟฉลองแสดงความยินดีในความสำเร็จที่นางแฮร์ริส ซึ่งเป็นลูกครึ่งอินเดีย-จาเมกา สามารถก้าวขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ได้สำเร็จ ขณะที่ นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี แสดงความยินดีต่อนายไบเดนและนางแฮร์ริสด้วย
เอเอฟพี รายงานว่า ชาวอินเดียออกมาแสดงความชื่นชมในความสำเร็จของนางแฮร์ริส ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความน่าภาคภูมิใจสำหรับประเทศอินเดีย
นายบาลาจันดราน โกปาลาน ลุงของนางแฮร์ริส ซึ่งเป็นนักวิชาการ กล่าวว่า เขาเชื่อเสมอว่า นางแฮร์ริส ต้องทำได้ พร้อมเปิดเผยว่า ครอบครัวของนางแฮร์ริสในอินเดียจะเดินทางไปที่สหรัฐฯเพื่อร่วมแสดงความยินดีในพิธีสาบานตนที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า
รายงานว่า นางแฮร์ริส มักกล่าวถึงอินเดียอย่างภาคภูมิใจในช่วงระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ และแม่ของเธอ เคยพานางแฮร์ริส กลับมาเยี่ยมบ้านที่อินเดียหลายครั้ง