นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า แม้ธนาคารกรุงไทยจะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจภายใต้พ.ร.บ.งบประมาณ แต่คำว่ารัฐวิสาหกิจนั้น ภายใต้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะถือว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นหน่วยงานรัฐ เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกรุงไทยเป็นกองทุนฟื้นฟูฯ ฉะนั้น ธนาคารกรุงไทยจึงถือเป็นหน่วยงานรัฐ
ดังนั้น เมื่อธนาคารกรุงไทยเป็นหนึ่งในหน่วยงานรัฐ ฉะนั้น หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงจะสามารถฝากเงินหรือจ่ายเงินแก่พนักงานข้าราชการผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทยได้เหมือนเดิม ขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงไทย ยังคงปฏิบัติภารกิจเป็นกลไกสำคัญให้แก่รัฐบาลในโครงการต่างๆ เช่น บัตรสวัสดิการ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน หรือ ช้อปดีมีคืน ส่วนผลกระทบที่จะมีต่อสวัสดิการพนักงานของธนาคารกรุงไทยหลังพ้นสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ เขากล่าวว่า เรื่องนี้ จะต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ กองทุนฟื้นฟูฯมีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นครั้งที่ 3 โดยขอหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้วินิจฉัยเกี่ยวกับสถานภาพของกองทุนฟื้นฟูฯและธนาคารกรุงไทยว่าเป็นรัฐวิสาหกิจตามพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 หรือไม่
โดยกองทุนฟื้นฟูฯ ให้เหตุผลประกอบการยื่นขอตีความครั้งนี้ว่า เดิมกองทุนฟื้นฟูฯจัดตั้งตามพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 แต่ต่อมาในปี 2561 มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศใช้ในปี 2561 โดยพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวได้ยกเลิกประเด็นที่กำหนดให้สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ ประกอบกับพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับปี 2561 มีการแก้ไขนิยามของคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ใหม่ โดยให้หมายถึง "องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ" ขณะที่นิยามการเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ในกฎหมายฉบับต่างๆมีความแตกต่างกัน
ดังนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ จึงขอให้คณะกฤษฎีกาวินิจฉัยในประเด็นต่างๆ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติต่อไป เช่น กองทุนฟื้นฟูฯและธนาคารกรุงไทยว่า มีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ กรรมการกองทุนฟื้นฟูฯมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป.ป.ช.หรือไม่ และหากคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าธนาคารกรุงไทยไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังจะมีอำนาจในการกำกับดูแลธนาคารกรุงไทยหรือไม่