ซีเอ็นเอ็นระบุ หากทรัมป์แพ้เลือกตั้งในจอร์เจีย,เพนซิลเวเนีย หมดสิทธิพลิกกลับมาชนะไบเดน

06 พฤศจิกายน 2563, 20:22น.


          ผลการนับคะแนนเมื่อเช้าวันนี้ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ นายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันในรัฐจอร์เจียเพียง 918 คะแนน แต่มีสัดส่วนคะแนนเท่ากันคือร้อยละ 49.4 นับคะแนนเสร็จแล้วร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 1 ส่วนในรัฐเพนซิลเวเนีย นับเสร็จแล้วร้อยละ 97 ล่าสุดนายไบเดนนำนายทรัมป์ ร้อยละ 49.4 ต่อร้อยละ 49.3 แต่มีบัตรเลือกตั้งอีกหลายพันใบที่ยังนับไม่เสร็จ



          ด้านบริษัทการไปรษณีย์ของรัฐเพนซิลเวเนีย ระบุว่าในการตรวจคัดแยกพัสดุในรอบบ่ายวานนี้ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์พบบัตรเลือกตั้ง 1,700 ใบตกค้างอยู่ในศูนย์คัดแยกพัสดุไปรษณีย์ 4 แห่ง รวมทั้งศูนย์คัดแยกพัสดุในเมืองฟิลาเดลเฟียและเมืองพิตต์สเบิร์ก และพบบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์อีก 500 ใบตกค้างในศูนย์คัดแยกในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งบริษัทไปรษณีย์สหรัฐฯจะรีบขนส่งบัตรลงคะแนนดังกล่าวไปยังศูนย์นับคะแนนในท้องที่โดยเร็ว เพื่อให้ทันกำหนดเวลาที่เจ้าหน้าที่เลือกตั้ง ได้รับอย่างช้าคือภายในเย็นวันนี้ จากนั้น จะนำมานับรวม กับบัตรที่นับเสร็จแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อการแพ้ชนะของผู้สมัครทั้งสอง



          ทั้งนี้ คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 16 คะแนนในรัฐจอร์เจียและคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 20 คะแนนในรัฐเพนซิลเวเนียถือว่าเป็นคะแนนสำคัญมากสำหรับนายทรัมป์ เนื่องจากหากนายทรัมป์แพ้ทั้งสองรัฐ ก็จะหมดสิทธิ์รวบรวมคะแนนคณะผู้เลือกตั้งให้ได้ 270 คะแนนจากทั้งหมด 538 คะแนน เพื่อคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ทันที



           จากตัวเลขของซีเอ็นเอ็นในขณะนี้ ซึ่งอาจจะต่างจากบางสำนักข่าวเช่น ฟ็อกซ์นิวส์ (ที่ระบุว่าไบเดน ได้ 264 คะแนน, ทรัมป์ ได้ 214 คะแนน) ระบุว่านายไบเดน ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งในขณะนี้ 253 คะแนน ถ้านายไบเดนชนะในรัฐเพนซิลเวเนีย เขาจะได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำคือ 270 คะแนนแต่ถ้านายไบเดนชนะในรัฐจอร์เจีย เขาจะมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 269 คะแนน  แต่ยังมีอีก 4 รัฐที่อยู่ระหว่างการนับคะแนนคือ อลาสกา,อริโซนา,เนวาดาและรัฐนอร์ทแคโรไลนา



          โดยนายทรัมป์มีคะแนนนำนายไบเดนในรัฐอลาสกาและรัฐนอร์ทแคโรไลนา ด้วยคะแนนร้อยละ 62.1 และร้อยละ 50.1 ตามลำดับ ขณะที่นายไบเดน ยังมีคะแนนนำนายทรัมป์ในรัฐอริโซนาและรัฐเนวาดา ด้วยคะแนนร้อยละ 50.1 และร้อยละ 49.4 ตามลำดับ



Cr: CNN,Reuters,Nikkei Asian Review

ข่าวทั้งหมด

X