ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มสูงว่าโจ ไบเดน จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ไทยเองต้องเตรียมวางแผนเพื่อรับมือกับนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ประเทศในแถบอาเซียน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต้องเร่งสร้างพันธมิตรทางความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากอิทธิพลของสหรัฐฯ ในแถบนี้เริ่มถดถอยไป ในขณะที่จีนก็ยังเข้ามาขยายอิทธิพลได้ยังไม่เต็มที่ ไทยเองจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ดังนั้น ไทยจะต้องใช้ยุทธศาสตร์แห่งความสมดุล ไม่เลือกข้าง กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าผลประโยชน์ของประเทศคืออะไร และต้องรักษาผลประโยชน์เหล่านั้นให้ได้ เช่น ผลประโยชน์บางเรื่องไทยอาจต้องสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ บางเรื่องไทยอาจต้องใช้ความสนิทสนมกับจีน บางเรื่องไทยอาจต้องหาคนกลางมาช่วยถ่วงดุล และบางเรื่องไทยต้องก้าวขึ้นมาแสดงบทบาทเป็นผู้นำอาเซียนเอง
ผศ.ดร.ปิติ มองว่า ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ต่างมีนโยบายหลักที่ไม่แตกต่างกัน นั่นคือพยายามทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และปิดล้อมจำกัดการขยายอิทธิพลของจีน นอกจากความพยายามในการขยายอิทธิพลในประเทศแถบอาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว สหรัฐฯ จะยังคงทำสงครามการค้าต่อไป โดยหากโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี ในระยะแรก ช่วง 1-2 ปีหลังการเลือกตั้ง น่าจะเดินตามแนวทางเดิมของทรัมป์ไปก่อน เพื่อให้กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ในสมัยทรัมป์ไม่หันมาเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล จากนั้นในระยะกลาง ช่วง 3-5 ปี รัฐบาลของโจ ไบเดน จะใช้นโยบายสไตล์เดโมแครต คือ สถาบันนิยม-เสรีนิยมใหม่ (Neo-liberal institutionalism) นั่นคือการสร้างเวทีการค้าเสรีระหว่างประเทศใหม่ๆ การตั้งองค์การระหว่างประเทศใหม่ โดยมีเงื่อนไขหลัก 3 ข้อ คือ
-อเมริกาต้องเป็นคนตั้งกฏกติกา
-อเมริกาเป็นกรรมการคุมกฏกติกา
-อเมริกาเป็นผู้เล่นเอง
ดังนั้น หากไทยจะเข้าร่วมเวทีการค้าดังกล่าว จะต้องเข้าร่วมตั้งแต่ต้น เพื่อร่วมกำหนดเกม และต้องยึดหลักเดิม คือ มีจุดยืนยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และยึดหลักยุทธศาสตร์แบบสมดุล