หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศระงับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสินค้าไทย หรือ GSP คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.53 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมสินค้า 231 รายการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่า สินค้าที่ถูกตัดสิทธิจริง มี 147 รายการ ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯได้ เพียงแต่ต้องกลับไปเสียภาษีเหมือนเดิมที่ร้อยละ 3-4 ซึ่งสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ เช่น อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการและภาคเอกชน มองว่า เป็นผลกระทบในระยะสั้นและไม่รุนแรงมาก เนื่องจาก ตลาดสินค้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบในสหรัฐฯไม่ใช่ตลาดใหญ่ของไทย
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า การถูกตัด GSP ครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบมากกับอุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ เนื่องจากตลาดหลักของไทย ในการส่งออกยานยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น พวงมาลัยรถยนต์ ล้อรถยนต์ กระปุกเกียร์ จะอยู่ในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และโซนยุโรป ในแต่ละปีไทยส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ไปยังตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้น และเมื่อถูกตัดสิทธิ GSP ก็เสียภาษีเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3-4 ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่มากนัก จะมีผลทำให้สินค้าจากไทยราคาแพงขึ้นเล็กน้อย และไทยยังมีความหวังหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใครจะได้รับชัยชนะและไทยจะสามารถเจรจาข้อตกลงหลังจากนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ว่านายทรัมป์ จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย หรือนายโจ ไบเดน จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน นายสุรพงษ์ มองว่า ไม่ว่าใครได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็เป็นผลดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบของไทย เนื่องจาก ทั้งสองคนต่างมีนโยบายขึ้นค่าแรงรวมทั้งสหรัฐฯ ยังทำความตกลง United States-Mexico-Canada Agreement (USMCA) หรือ NAFTA ฉบับปรับปรุงใหม่ที่สหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา ร่วมกันลงนามไปเมื่อช่วงปลายปี 2561 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา เป็นมาตรฐานใหม่ของสหรัฐฯในการทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าที่เน้นความเข้มข้นด้านแรงงาน ทำให้ค่าแรงในสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา จะสูงมาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของอุตสาหกรรมไทยที่จะส่งชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ไปขายที่ตลาดเม็กซิโกและแคนาดาเพราะค่าแรงของไทยถูกกว่าและสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานแม้ว่าอาจจะต้องเสียค่าขนส่งแต่เชื่อว่าคุ้มค่ากว่าและเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่จะได้ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น