ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563

29 ตุลาคม 2563, 07:34น.



กรมชลประทาน อุบลฯ ระบุน้ำมูล-น้ำชี ไม่น่าห่วง ยังรับน้ำได้อีก



          อิทธิพลพายุโมลาเบ อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชั่นแล้วและเคลื่อนเข้าไทยที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางดึก กรมอุตุนิยมวิทยา เตือน 44 จังหวัด รับมือน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 28-30 ต.ค.2563 นายสัมพันธ์ เดือนศิริรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุบลราชธานี เปิดเผยว่า กรมชลประทาน พร่องน้ำเตรียมรับมือแล้ว โดยใช้เครื่องผลักดันน้ำจำนวน 50 เครื่อง เร่งผลักดันน้ำออกจากแม่น้ำมูล บริเวณแก่งสะพือ อ.พิบูลมังสาหาร ลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม เพิ่มจากปกติอีกวันละกว่า 6,000,000 ลูกบาศก์เมตร ทำให้แม่น้ำมูลที่สถานีวัดน้ำสะพานเสรีประชาธิปไตย มีระดับน้ำสูง 5.69 เมตร แต่ยังต่ำกว่าจุดน้ำล้นตลิ่ง 1.31 เมตร อัตราการไหลของน้ำ 1,575 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีก 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก หากมีฝนตกจากพายุลูกนี้



เขื่อนลำปาว ยังสามารถรับน้ำได้อีกกว่า 1,000 ล้านลบ.ม.



          นายฤาชัย จำปานิล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวหรือเขื่อนลำปาว เขื่อนดินขนาดใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวของกาฬสินธุ์  เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำของเขื่อนลำปาว ปัจจุบันมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 938 ล้านลบ.ม.หรือคิดเป็นร้อยละ 47 จากความจุ 1,980 ล้าน ลบ.ม. คาดว่า ทิศทางหลักของพายุโมลาเบ เข้ามาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และพื้นที่ท้ายเขื่อนลำปาว แต่หากมีปริมาณฝนตกเหนือเขื่อนลำปาว ก็พร้อมที่จะกักเก็บน้ำเต็มที่ เนื่องจาก ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 1,000 ล้านลบ.ม.



          ส่วนความมั่นคงปลอดภัย กรมชลประทาน ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเขื่อนมาตรวจสภาพเขื่อนลำปาวแล้ว ซึ่งสภาพอุปกรณ์ทั่วไปและวัดความมั่นคงยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากพายุโมลาเบ เข้ามาในพื้นที่ ก็ไม่มีปัญหาและพร้อมจะกักเก็บน้ำไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป



          สำหรับการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนลำปาว ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งน้ำ เสริมน้ำฝนช่วยพื้นที่ทางการเกษตร โดยเฉพาะนาข้าวเป็นช่วงสุดท้าย และกำลังส่งน้ำให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในพื้นที่เฉลี่ยวันละ 1,000,000 ลบ.ม. จะเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกร เนื่องจาก เขื่อนลำปาวจะเริ่มลดการส่งน้ำฤดูฝนปี 2563 ในคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาในวันที่ 2 พ.ย.2563 และจะปิดสนิทในวันที่ 6 พ.ย. 2563 ขอให้เกษตรกรและผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วนที่ใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำปาวผ่านคลองส่งน้ำได้เก็บกักน้ำไว้ในสระน้ำ แปลงนา บ่อพักน้ำ เพื่อใช้ในกิจกรรมเลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง และกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งอุปโภค บริโภค และเลี้ยงสัตว์ในช่วงนี้ไว้ให้เพียงพอ 



หมอ ห่วงอากาศหนาว เสี่ยงป่วยง่าย แนะสังเกตอาการหวัด-โควิด-19



          การสังเกตอาการ ความแตกต่างระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่กับอาการของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ไทยเข้าสู่ฤดูหนาว นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคประจำฤดูกาลคือ โรคที่มากับอากาศเย็น ทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ประเทศไทยยังมีโรคโควิด-19 ประชาชนอาจวิตกกังวลว่า อาการเจ็บป่วยเกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่หรือโรคโควิด-19 เพราะมีอาการคล้ายกัน อย่าเพิ่งวิตกว่าจะเป็นโรคโควิด-19 หากไม่ได้มีความเสี่ยง เช่น อยู่บ้าน ออกไปข้างนอกก็ใส่หน้ากากอนามัย โอกาสที่จะเป็นโรคโควิด-19 จะน้อยมาก



          พญ.เปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์ปอด สถาบันโรคทรวงอก กล่าวว่า ข้อแตกต่างระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 



-โรคไข้หวัดใหญ่ มีระยะเวลาการฟักตัว 1-4 วัน อาจแพร่เชื้อก่อนมีอาการ 1 วัน แต่แพร่เชื้อได้ไม่เกิน 7 วัน อาการเด่นคือ ไข้สูง 38 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล และไอ หายเองได้ใน 7 วัน การเกิดปอดอักเสบขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อและภูมิคุ้มกันของร่างกาย มียาต้านไวรัสและวัคซีนป้องกัน



-โรคโควิด-19 ระยะเวลาเกิดโรคเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 วัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 14 วัน เริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนมีอาการ แพร่เชื้อได้นานถึง 14 วัน ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ไม่มีอาการ อาการมักมีลักษณะฉับพลัน แต่ไข้ น้ำมูก และไอไม่เด่นเท่าไข้หวัดใหญ่ มักเป็นไข้ต่ำๆ 37.5 หรือ 37.8 องศาเซลเซียส อาจครั่นเนื้อครั่นตัวและมีอาการไอด้วย ที่เด่นชัดคือ สูญเสียการรับรสและกลิ่น หายเองได้ใน 10-14 วัน ยังไม่มียารักษาที่ชัดเจนและไม่มีวัคซีนป้องกัน โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีโรคอื่นๆ มีความเสี่ยงเกิดความรุนแรงของปอดอักเสบได้



-โรคไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ติดต่อเหมือนกัน ผ่านการไอ จาม สัมผัสถูกน้ำมูก เสมหะผู้ป่วย มือที่สัมผัสเชื้อลูบหน้าตา จมูก ปาก การป้องกันจากทั้ง 2 โรคทำได้เหมือนกันคือ สวมหน้ากากอนามัย มีระยะห่าง 1-2 เมตร



ปตท.ส่งชิ้นส่วนท่อก๊าซระเบิดให้ตำรวจ ตรวจสอบ



          วันนี้ครบ 1 สัปดาห์ เหตุการณ์ท่อก๊าซธรรมชาติระเบิดที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก การช่วยเหลือเยียวยาและการตรวจสอบหาสาเหตุมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหาร ปตท. ลงพื้นที่เกิดเหตุ



-ปตท. ส่งชิ้นส่วนท่อส่งก๊าซให้พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายและจะนำผลมาวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง 



-ยกระดับมาตรฐานวิศวกรรมป้องกันความเสี่ยงในอนาคต โดยได้ให้คำแนะนำและกำชับการปฏิบัติตามมาตรการบำรุงรักษาท่อส่งก๊าซ ให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล การตรวจสอบกรณีมีบุคคลที่สามเข้ามาในพื้นที่ที่มีแนวท่อส่งก๊าซอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด



-สำหรับการดูแลและฟื้นฟูจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่เกี่ยวข้อง กลุ่ม ปตท. ได้ระดมพนักงานร่วมให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมซ่อมแซมบ้าน ทรัพย์สินที่เสียหาย การทำความสะอาดพื้นที่ของหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งระบบไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคที่จำเป็น



-จัดหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาล สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่



PTT News



 



 




 

ข่าวทั้งหมด

X