ครอบครัว วอลเตอร์ วอลเลซ ชายผิวดำที่ถูกตร.ยิงเสียชีวิต ขอผู้ประท้วงยุติก่อเหตุจลาจล
จุดชนวนบานปลาย กลายเป็นเหตุประท้วงก่อจลาจลครั้งใหม่ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์ จากเหตุการณ์ตำรวจสองนายยิงนายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ ชายวัย 27 ปี ที่มีอาการอารมณ์แปรปรวน มีการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจกับผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมเรื่องการเหยียดผิวและการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่ บางจุดมีการเข้าไปทำลายและขโมยของในร้านค้า ทำให้เกิดความเสียหาย ตำรวจบาดเจ็บ 30 นาย ผู้ชุมนุมถูกจับไปประมาณ 90 คน
นายทอม วูล์ฟ ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย สังกัดพรรคเดโมแครต เรียกระดมกองกำลังป้องกันชาติ ช่วยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินของฟิลาเดลเฟียรักษาความสงบเรียบร้อย
เหตุการณ์เกิดขึ้นจากภรรยาของนายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ แจ้งตำรวจว่าสามีของเธอป่วยเป็นไบโพลาร์ มีอาการคลุ้มคลั่งถือมีด เมื่อตำรวจมาถึงบอกให้นายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ วางมีดแต่ไม่ยอมวางจึงยิงไป 7 นัด จนเสียชีวิต ทั้งๆที่ภรรยาและแม่ของนายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ ห้ามตำรวจขอร้องอย่ายิง
ด้านนายรูสเวลต์ แบรนต์ ญาติผู้เสียชีวิต ระบุว่า เหตุการณ์คงจะจบลงต่างจากนี้มากถ้าตำรวจใช้ปืนช็อตไฟฟ้าแทน
นายวอลเตอร์ วอลเลซ ซีเนียร์ พ่อของผู้เสียชีวิต ขอร้องทุกคนยุติการใช้ความรุนแรงเพื่อเห็นแก่ผู้เสียชีวิต เขาจะไม่ให้อภัยการใช้ความรุนแรง ทำลายบ้านเมือง ปล้นชิงร้านค้า และความโกลาหล ขณะเดียวกันขอความเป็นธรรมในการสอบสวนคดี
ขณะที่ สหภาพตำรวจเมืองฟิลาเดลเฟีย แถลงปกป้องการทำงานของตำรวจที่ต้องระงับเหตุ นายแฟรงก์ วาโนร์ ผู้บังคับการฝ่ายสอบสวน แถลงว่า ตำรวจเดินทางไปที่เกิดเหตุ เนื่องจากได้รับแจ้งว่า มีผู้ชายตะโกนส่งเสียงดังและถือมีด และตำรวจทั้งคู่ยิงใส่นายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ 7 นัด แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเนื่องจากคดีนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน
แฟ้มภาพ
จลาจลที่เมืองฟิลาเดลเฟีย กลายเป็นประเด็นร้อน ชิงคะแนนเสียงโค้งสุดท้ายเลือกผู้นำสหรัฐฯ
การประท้วงของชาวเมืองฟิลาเดลเฟีย การตอบโต้ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงของตำรวจกลับมาเป็นประเด็นร้อนในศึกชิงทำเนียบขาวระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันและนายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต เนื่องจากเมืองฟิลาเดลเฟีย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามเลือกตั้งที่แนวโน้มยังไม่แน่นอน และผู้สมัครทั้งสองต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง
-นายทรัมป์ สนใจเหตุการณ์รุนแรงเพียงเพื่อใช้สนับสนุนนโยบายการรักษาความสงบเรียบร้อยของตัวเองเท่านั้น และทำเนียบขาวออกคำแถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า เป็นผลลัพธ์ล่าสุดจากสงครามระหว่างฝ่ายเสรีนิยมของพรรคเดโมแครตกับตำรวจ
-ส่วนนายไบเดนและนางกมลา แฮร์ริส ผู้ร่วมทีมที่ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ออกคำแถลงร่วมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายวอลเตอร์ วอลเลซ จูเนียร์ และเรียกร้องให้ผู้ประท้วง งดใช้ความรุนแรงและระบุด้วยว่าการปล้นเป็นอาชญากรรมเบี่ยงเบนความสนใจไปจากโศกนาฎกรรมที่แท้จริง
3 พ.ย.สหรัฐฯเลือก ส.ส.-สว.ด้วย เดิมพันสองพรรคใหญ่ ครองทำเนียบขาว-สภาคองเกรส
นายไบเดน พร้อมภรรยา เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าที่รัฐเดลาแวร์ ขณะที่ นายทรัมป์ ไปลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วที่รัฐฟลอริดา
ชาวอเมริกัน ออกมาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าอย่างคึกคักในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการใช้สิทธิแล้วมากกว่า 74 ล้านคน มากกว่าสถิติการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 58 ล้านคน และมีการคาดการณ์กันว่า ในปีนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
วันที่ 3 พ.ย. 2563 นอกจากชาวอเมริกันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ยังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาจำนวน 435 คน และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือจำนวน 33 คน จากทั้งหมด 100 คน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมีขึ้นทุก 4 ปี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีขึ้นทุก 2 ปี
ขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันยังออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายพันคนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ว่าการรัฐ และผู้พิพากษา ทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.2563 ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญต่อทั้งพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน เนื่องจากจะมีผลต่อชัยชนะของพรรคในการครอบครองทำเนียบขาวและสภาคองเกรส
นอกจากนี้ บางรัฐอาจพ่วงการทำประชามติในประเด็นต่างๆที่กำลังเป็นที่สนใจภายในรัฐให้ประชาชนลงคะแนนเสียงในวันที่ 3 พ.ย.2563 เช่นเดียวกัน เช่น การควบคุมอาวุธปืน หรือสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ
ชาวอเมริกันใน 3 รัฐ เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุด
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า จากการวิเคราะห์ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯที่มีการเปิดเผยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ พบว่า รัฐวิสคอนซิน เทนเนสซี และเนบราสกา เป็น 3 รัฐในสหรัฐฯ ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 สูงสุด
-รัฐวิสคอนซิน มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เฉลี่ย 31 รายต่อวันในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 จากช่วง 7 วันก่อนหน้านี้
-รัฐเทนเนสซี มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เฉลี่ย 36 รายต่อวันในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 จากช่วง 7 วันก่อนหน้านี้
-รัฐเนบราสกา มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เฉลี่ย 8 รายต่อวันในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากช่วง 7 วันก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน 15 รัฐในสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงเป็นประวัติการณ์ โดยรัฐไวโอมิง มีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนรัฐนิวเม็กซิโกเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 และรัฐนอร์ธ ดาโกตา เพิ่มขึ้นร้อยละ 27
ดาวโจนส์ ปิดลบเกือบ 1,000 จุด กังวลศึกชิงผู้นำสหรัฐฯ-โควิด-19 ระบาดรอบ2
เหลืออีกเพียง 6 วันก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดแรงแทขายอย่างหนักในวอลล์สตรีท ท่ามกลางความกังวลว่า อาจไม่สามารถประกาศผู้ชนะได้ในค่ำคืนในวันที่ 3 พ.ย.2563 นายไบเดน มีคะแนนนิยมทั่วประเทศนำหน้านายทรัมป์ อยู่ประมาณ 10 จุด จากผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอส แต่การแข่งขันค่อนข้างสูสี ในบรรดารัฐสมรภูมิทั้งหลาย ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินผู้ชนะ
ความกังวลเกี่ยวกับผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ฉุดให้ตลาดหุ้นอเมริกาปิดตลาดเมื่อวันพุธ 28 ต.ค.2563 ดิ่งลงอย่างหนัก โดยดาวโจนส์ปิดลบเกือบ 1,000 จุด
-ดาวโจนส์ ลดลง 943.24 จุด หรือร้อยละ 3.43 ปิดที่ 26,519.95 จุด
-เอสแอนด์พี ลดลง 119.65 จุด หรือร้อยละ 3.53 ปิดที่ 3,271.03 จุด
-แนสแดค ลดลง 426.48 จุด หรือร้อยละ 3.73 ปิดที่ 11,004.87 จุด
สถานการณ์โควิด-19 นอกจากสหรัฐฯแล้ว หลายชาติ รวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศส กลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่ พยายามควบคุมการแพร่ระบาดระลอกสองที่ดูเหมือนกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สานสัมพันธ์อาเซียน ! รมว.กต.สหรัฐฯ เยือนเวียดนาม ฟื้นฟูด้านการค้า
รัฐบาลเวียดนาม เปิดเผยว่า นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงฮานอย ของเวียดนามในวันนี้และวันพรุ่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการตระเวนเยือนหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ มีความตึงเครียดเกี่ยวกับการค้าในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ยืนยัน เมื่อเดือนส.ค.ว่า จากคำสั่งของนายทรัมป์ หน่วยงานกำลังสอบสวนว่าเวียดนามบิดเบือนค่าเงินด่งหรือไม่และเป็นอันตรายต่อการค้าของสหรัฐฯหรือไม่
นายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุ้ก ของเวียดนาม เรียกร้องให้นายทรัมป์ ประเมินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ และกล่าวว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไม่ได้มุ่งหมายไปที่การช่วยเหลือการส่งออก
โรงเรียนญี่ปุ่น ทำไพ่สอนภาษาควบคู่เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในญี่ปุ่น ประดิษฐ์ไพ่สองสำรับ เป็นเครื่องมือสอนภาษาที่อ้างอิงกับถ้อยคำหาเสียงของคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในสำรับมีไพ่ 52 ใบ มีภาพการ์ตูนของนายทรัมป์และนายไบเดน แต่ละใบพิมพ์ถ้อยคำหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ เช่น Keep America Great! ของนายทรัมป์ The world built a wall around us ของนายไบเดน เป็นอุปกรณ์ประกอบการเรียนของโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งในเมืองนีงาตะ ผู้เรียนจะอ่านออกเสียงถ้อยคำเหล่านี้ จากนั้นครูผู้สอนจะอธิบายที่มา ที่ไป ของถ้อยคำให้ฟัง
นอกจากนี้ยังใช้รูปประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย เป็นไพ่โจ๊กเกอร์ ได้รับผลตอบรับจากนักเรียนเป็นอย่างดี หลายคนตัดสินใจลงทะเบียนเรียน หลังจากที่ได้ทดลองเรียนด้วยไพ่สอนภาษานี้
ผู้จัดการโรงเรียนวัย 53 ปี เปิดเผยว่า เกิดแรงบันดาลใจที่จะประดิษฐ์ไพ่ดังกล่าว จากการที่ได้นั่งคิดทบทวนว่า เหตุใดถ้อยคำหาเสียงของนายทรัมป์จึงได้รับความนิยมมากมายในช่วงที่ลงชิงชัยกับนางฮิลลารี คลินตัน อดีตสตรีหมายเลข 1 และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตเมื่อปี 2559 เขาคิดว่า การศึกษาว่านักการเมืองหาเสียงอย่างไรด้วยการลองสวมบทบาทเป็นนักการเมืองเอง อาจช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดความเห็นเป็นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
ปลัดกต.สหรัฐฯ โทรคุยกับซูจี ยุติการใช้อาวุธ-รับประกันความปลอดภัยให้ชาวโรฮิงญา
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า นายเดวิด เฮล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการการเมือง โทรศัพท์คุยกับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนเมียนมา เรื่องการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 พ.ย. เรียกร้องให้การเลือกตั้งของเมียนมาให้ความสำคัญเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน เรียกร้องรัฐบาลของนางซูจี ยุติความขัดแย้งด้านอาวุธทั่วประเทศ และรับประกันการเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัยและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานให้กับชาวโรฮิงญา
ค่อนข้างแน่นอนว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ( เอ็นแอลดี ) ของนางซูจี จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของเมียนมา ประกาศเมื่อกลางเดือน ยกเลิกการตั้งคูหาใน 9 เขตเลือกตั้งจากทั้งหมด 17 เขตเลือกตั้งของรัฐยะไข่ ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 1,100,000 คน ไม่สามารถไปลงคะแนนเสียงได้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่อยู่ในบรรยากาศที่จะสามารถจัดการลงคะแนนเลือกตั้งได้อย่างอิสระและยุติธรรม ทำให้หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าประเด็นทางความมั่นคงหรือไม่