ความเชื่อมั่นลดลง! ทำเนียบขาว ยอมรับ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงแพ็คเกจกระตุ้นศก.ทันเลือกตั้งสหรัฐฯ
นางเคย์ลีจ์ แมคเอนนานี โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ยอมรับว่า รัฐบาลและพรรคเดโมแครต ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย. 2563 นางแมคเอนนานี ตำหนินางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าเรียกร้องมากเกินไป และต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าที่สภาคองเกรสจะเห็นชอบตรงกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดวันอังคาร 27ต.ค.2563 แบบผสมผสาน ผิดหวังรายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆและความหวังที่เลือนลางกรณีแพ็คเกจเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 รอบใหม่ของสหรัฐฯไม่ผ่านความเห็นชอบก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดน้อยลงไปอีก ขณะที่แนสแดค ปรับขึ้น ได้แรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยี
-ดาวโจนส์ ลดลง 222.19 จุด หรือร้อยละ 0.80 ปิดที่ 27,463.19 จุด
-เอสแอนด์พี ลดลง 10.29 จุด หรือร้อยละ 0.30 ปิดที่ 3,390.68 จุด
-แนสแดค เพิ่มขึ้น 72.41 จุด หรือร้อยละ 0.64 ปิดที่ 11,431.35 จุด
ส่วนราคาทองคำ ปิดบวก นักลงทุนถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ หลังข้อมูลแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธ.ค.2563 เพิ่มขึ้น 6.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 1,911.90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
โซนร้อนเซตา ทำให้บริษัทน้ำมัน อพยพพนักงาน-หยุดการผลิตชั่วคราว
สถานการณ์ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น หลังจากบริษัทหลายแห่งยุติการผลิตในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯรับมือกับพายุโซนร้อนเซตา ที่กำลังเคลื่อนเข้ามา บริษัทที่ยุติการการผลิตน้ำมันชั่วคราว รวมถึง บีพี เชฟรอน เชลล์และอีควินอร์ ต้องอพยพพนักงานออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน แม้ว่าพายุจะอ่อนกำลังลงจากเฮอริเคนมาเป็นพายุโซนร้อน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในช่วงสั้นๆ แต่ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อตลาดพลังงานคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธ.ค. 2563 เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 39.57 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธ.ค. 2563 เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ ปิดที่ 41.20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
‘โจ ไบเดน’ โวยรีพับลิกัน รีบร้อนผิดปกติ แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่
การเมืองในสหรัฐฯ สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ คือการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนน 52-48 เสียง รับรองนางเอมี่ โคนีย์ แบร์เรตต์ อาจารย์นิติศาสตร์วัย 48 ปี ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ถือว่าเป็นชัยชนะนำมาเป็นประเด็นในการหาเสียงโค้งสุดท้ายเพื่อต่อสู้กับนายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
นายทรัมป์ ประกาศจากทำเนียบขาว โดยมีนางแบร์เรตต์ ยืนอยู่ด้านข้างว่า เป็นวันสำคัญของอเมริกา รัฐธรรมนูญของอเมริกา และหลักนิติธรรมที่เที่ยงตรงและเป็นกลาง ขณะที่ นางแบร์เรตต์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ยืนยันว่า จะไม่นำความเชื่อส่วนตัวมาก้าวก่ายงานตุลาการรวมทั้งจะไม่ยอมให้การเมืองแทรกแซง
ด้านพรรคเดโมแครต ไม่พอใจอย่างมากที่พรรครีพับลิกัน เร่งรัดให้มีการรับรองนางแบร์เรตต์ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเพียงไม่กี่วัน และเตือนว่านางแบร์เรตต์ อาจลงมติยกเลิกการคุ้มครองสิทธิ์ในการทำแท้งหรือระบบประกันสุขภาพที่คุ้มครองชาวอเมริกันนับล้านคน
นายไบเดน แถลงว่า การรับรองนางแบร์เรตต์ อย่างรีบร้อนและไม่เคยมีมาก่อนเป็นการตอกย้ำกับชาวอเมริกันว่า คะแนนเสียงของทุกคนมีความสำคัญ
จับมือกัน!สหรัฐฯ แบ่งปันข้อมูลด้านความมั่นคงให้อินเดีย
ผลการหารือร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดีย คือ นายสุพรหมณยัม ชัยศังกร รมว.การต่างประเทศอินเดีย และนายราชนาถ ซิงห์ รมว.กลาโหมอินเดีย ให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ คือ นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.การต่างประเทศสหรัฐฯ และนายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ นายเอสเปอร์ กล่าวว่า สหรัฐฯ มุ่งหวังยกระดับความสัมพันธ์กับอินเดียในทุกด้านเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย และธำรงไว้ซึ่งพื้นฐานของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ต้องมีเสถียรภาพและเสรีภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต ขณะที่ นายปอมเปโอ กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ทั้งสองประเทศหารือกันเพื่อขยายความร่วมมือ
ด้านนายชัยศังกร และ นายซิงห์ กล่าวไปในทางเดียวกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันในข้อตกลงว่าด้วย การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือขั้นพื้นฐาน ซึ่งประเด็นหลักเกี่ยวข้องกับความมั่นคง หนึ่งในเงื่อนไขคือการที่สหรัฐฯสามารถแบ่งปันข้อมูลลับที่ดาวเทียมสอดแนมสามารถตรวจจับไว้ได้และข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์ทางทหารซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อินเดีย ในการจัดวางกำลังพลและอาวุธตามแนวพรมแดนพื้นที่พิพาท ตลอดจนการสังเกตการณ์และตรวจจับขีปนาวุธในกรณีมีการยิงมาจากฝ่ายตรงข้าม
ญี่ปุ่น เตรียมงบฯกว่า 600,000 ล้านเยน ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ทุกคน
รัฐบาลญี่ปุ่น อนุมัติร่างกฎหมายให้รัฐบาลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ให้คนที่อาศัยในประเทศทั้งหมดแต่ไม่ได้เป็นการบังคับ ร่างกฎหมายฉบับนี้แก้ไขกฎหมายวัคซีนฉบับปัจจุบันให้สอดคล้องกับที่นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ สึกะ รับปากว่า จะจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ทุกคนในญี่ปุ่นช่วงครึ่งแรกของปีหน้า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณไว้ทั้งหมด 671,400 ล้านเยน หรือราว 200,249 ล้านบาท ตามที่ได้ตกลงว่าจะสั่งซื้อวัคซีนจากแอสทราเซเนกาของอังกฤษ และไฟเซอร์ของสหรัฐฯ บริษัทละ 120 ล้านโดส เมื่อพัฒนาสำเร็จ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐฯ เรื่องจะสั่งซื้อวัคซีนอีกไม่ต่ำกว่า 40 ล้านโดส
รัฐบาลญี่ปุ่น พยายามผลักดันให้บริษัทในประเทศผลิตวัคซีนเอง แต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นต้นของการทดลองทางคลินิก ขณะที่ เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า กว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อาจต้องรอจนถึงสิ้นปีหน้า
วุ่นวาย!ประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ในอิตาลี–สเปน ด้านเยอรมนี เตือนอาจคุมโควิด-19 ไม่อยู่
การชุมนุมประท้วงในอิตาลี หลังจากประชาชนรวมตัวกันเดินขบวนประท้วงตามเมืองต่างๆทั่วประเทศ ทั้งกรุงโรม นครมิลาน เมืองเนเปิล ซาเลอร์โน พาเลอร์โม และตูริน ขณะที่นครมิลาน และเมืองตูริน กลุ่มผู้ประท้วงบางส่วนก่อเหตุจลาจล เผาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ พร้อมทุบกระจกห้างสรรพสินค้า ร้านสินค้าแบรนด์เนม จนเจ้าหน้าที่ระงับเหตุต้องตัดสินใจใช้รถฉีดน้ำ พร้อมยิงแก๊สน้ำตาสยบผู้ก่อความวุ่นวายที่ไม่พอใจหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ ปิดผับบาร์ ร้านอาหาร ในเวลา 18.00 น. พร้อมสั่งระงับให้บริการสถานที่สาธารณะ อิตาลีมียอดผู้ติดเชื้อ 564,778 คน สูงเป็นอันดับ 14 ของโลก เสียชีวิตรวมกว่า 37,700 ราย
เช่นเดียวกับที่สเปน เกิดเหตุเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงมาตรการเคอร์ฟิวรอบใหม่กับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ในนครบาร์เซโลนา มีรายงานผู้ชุมนุม ถูกตำรวจจับกุมจำนวนหนึ่ง ยอดผู้ติดเชื้อในสเปนอยู่ที่ 1,116,738 คน สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก เสียชีวิตรวมกว่า 35,298 ราย
ส่วนที่เยอรมนี นางแองเกลา แมร์เคิล นายกฯ ประชุมหารือการวางมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดกับมุขมนตรี 16 รัฐ พร้อมเตือนว่าเรากำลังจะควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ยอดติดเชื้อรวมในเยอรมนีเพิ่มเป็น 463,419 คน เสียชีวิตกว่า 10,121 ราย