กรมชลฯ กำชับ สนง.ชลประทานที่ 3-17 เตรียมคน-เครื่องมือ พร้อมรับพายุ'โมลาเบ'
กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมพร้อมรับมือพายุไต้ฝุ่น โมลาเบ (พายุระดับ 5) กำหนดคน กำหนดพื้นที่เสี่ยง กำหนดเครื่องจักรเครื่องมือ พร้อมรับมือตลอด 24 ชั่วโมง ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ประชุมเตรียมความพร้อมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังสำนักงานชลประทานที่ 3-17 หลังจากประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่2 เรื่อง พายุไต้ฝุ่นโมลาเบ บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ของประเทศไทยมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ตั้งแต่วันที่ 28-29 ต.ค.2563 สั่งการให้สำนักงานชลประทานที่ 3-17 และศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC)ส่วนภูมิภาค เฝ้าติดตามสถานการณ์พายุและสถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่าอย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานสถานการณ์น้ำเป็นรายชั่วโมง หากเกิดสถานการณ์อุทกภัย ให้รายงานสาเหตุและปัญหาที่เกิดขึ้นรวมทั้งการช่วยเหลือมายังศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ ส่วนกลาง เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำต่อไป
นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการรับมือสถานการณ์น้ำหลากตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ประกอบด้วย ตรวจสอบอาคารชลประทานให้มีสภาพพร้อมใช้งานอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด พิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยไม่ให้กระทบพื้นที่ด้านท้ายน้ำ พร้อมแจ้งเตือนก่อนการระบายไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบระดับพื้นที่พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง กำหนดพื้นที่จุดเสี่ยงและบริหารจัดการเครื่องจักรเครื่องมือพร้อมช่วยเหลือทันที
ศูนย์ปฎิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน
ไทย–สหรัฐฯ จับมือตั้งคณะทำงานช่วยกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แลกเปลี่ยนเอกสารกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย–สหรัฐฯ ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังไทยและสหรัฐฯ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไทย กับ นาย Michael George DeSombre เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ในโอกาสที่นาย Michael George DeSombre เข้าเยี่ยมคารวะ
กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน ประกอบด้วยผู้แทนของกระทรวงการคลังไทยและสหรัฐฯ และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ ร่วมกำหนดแนวทางดำเนินการ และศึกษาถึงโอกาสการพัฒนาในมิติต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทย–สหรัฐฯ ในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2563 กระทรวงการคลังไทยและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ลงนามในกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย-สหรัฐฯ ทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ได้ลงนามในกรอบความร่วมมือดังกล่าวกับสหรัฐฯเช่นเดียวกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ผู้นำสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน พิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่
นางเอมี่ โคนีย์ บาร์เรตต์ ผู้พิพากษาสายอนุรักษ์นิยมวัย 48 ปี ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากลงมติให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ด้วยคะแนน 52 เสียง ต่อ 48 เสียง การลงมติเมื่อคืนนี้ มีสมาชิกวุฒิสภา(สว.) หนึ่งคนจากพรรครีพับลิกัน คือ สว.ซูซาน โคลลินส์ จากรัฐเมน โหวตสวนมติพรรค
พิธีสาบานตนจัดขึ้นในทำเนียบขาว โดยมีนายคลาเรนซ์ โทมัส ตุลาการในศาลฎีกา ทำหน้าที่ประธานในพิธี โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน นับเป็นชัยชนะสำหรับนายทรัมป์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง
ด้านนางบาร์เรตต์ กล่าวว่า ผู้พิพากษาประกาศจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ยึดมั่นหลักนิติธรรม ไม่ถูกครอบงำทั้งจากสภาคองเกรส ประธานาธิบดีและความเชื่อส่วนบุคคล ที่อาจจะส่งผลทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ ได้เสนอชื่อนางบาร์เรตต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์กลางจากรัฐอินดิแอนาให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่หลังนางรูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนเมื่อเดือนที่แล้ว นับเป็นผู้พิพากษาประจำศาลฎีกาคนที่ 3 ที่นายทรัมป์ เสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง ผ่านการลงมติรับรองโดยที่ประชุมวุฒิสภา ต่อจากนายนีล กอร์ซุช ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฏีกาเมื่อปี 2560 และนายเบร็ตต์ คาวานอห์ เมื่อปี 2561
พรรคเดโมแครต ย้ำจุดอ่อนของพรรครีพับลิกัน เรื่องการบริหารนโยบายคุมโควิด-19
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นประเด็นที่คู่ชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ นำมาใช้ตอบโต้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ชี้ให้เห็นถึงนโยบายการบริหารงานในการแก้ปัญหา โดยนายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต พยายามชี้ให้เห็นว่า การออกมายอมรับของนายมาร์ก มีโดว์ส ประธานคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาว ที่ระบุว่า การที่สหรัฐฯจะคุมโควิด-19 ได้ ต้องมีวัคซีน การรักษา และวิธีการอื่นๆ เพราะไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคติดต่อเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ เป็นการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า กลยุทธ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ชัดเจนมาตั้งแต่แรก คือ ไม่แม้แต่จะควบคุมการระบาดซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานในการปกป้องประชาชน แต่กลับยอมแพ้และเพิกเฉยโดยบอกว่าไวรัสโคโรนาจะหายไปเอง
สถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ รุนแรงมาก พบว่า 29 รัฐจาก 50 รัฐ ทั่วสหรัฐฯ พบเคสใหม่เพิ่มขึ้นแบบทุบสถิติเดิม โดยรวมถึง 5 รัฐ ที่เป็นสนามเลือกตั้ง ซึ่งการต่อสู้แข่งขันกันเป็นไปอย่างดุเดือด คือ โอไฮโอ มิชิแกน นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการโควิด-19 ในแถบมิดเวสต์ ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็น วันที่ 9 เมื่อวันอาทิตย์ ล่าสุดคือข่าวที่ว่า นายมาร์ก ชอร์ต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ของรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ติดโควิด-19 แล้วนับรวมผู้ที่หายแล้วเข้าไปด้วยทำให้ในทำเนียบขาวมีผู้ติดเชื้อกว่า 20 คน ซึ่งรวมถึงนายทรัมป์และภรรยาคือ นางเมลาเนีย และบาร์รอน ลูกชายวัยรุ่นของทั้งคู่
อย่างไรก็ดี