การเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 3 ในโครงการทางเชื่อมต่อทางพิเศษบูรพาวิถีและถนนเลี่ยงเมืองชลบุรีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งเป็นการรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้าย มีประชาชนในพื้นที่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียและอยู่ในแนวเส้นทางโครงการมาร่วมรับฟังการนำเสนอผลสรุปการศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งในด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
นายวิชาญ เอกรินทรากุล ที่ปรึกษาผู้ว่าการ (ด้านการบริหาร) รักษาการ รองผู้ว่าการฝ่ายกลยุทธ์และแผนงาน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ด้วย พร้อมระบุว่า โครงการเชื่อมต่อทางพิเศษบูรพาวิถีและถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร จะช่วยลดการตัดกระแสการจราจร บริเวณด้านหน้านิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี รวมทั้งยังแก้ไขปัญหาการจราจรโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมฯ ให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการแก้ไขทั้งระบบอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
โดยทางขึ้น-ลงจุดเริ่มต้นโครงการ อยู่ที่บริเวณถนนบ้านเก่าและทางขึ้น-ลง ของจุดสิ้นสุด โครงการที่บริเวณถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี ซึ่งก็มีความห่วงใยจากประชาชนว่าบริเวณทางขึ้น-ลง คับแคบ เกินไป อาจไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่า จะเป็นโครงการที่สร้างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์กับเอกชนเพียงรายเดียวหรือไม่ หรือใช้รถไฟฟ้าความเร็วสูงจะดีกว่าหรือไม่และข้อกังวลด้านมลภาวะทางอากาศและเสียงหลังเปิดใช้งาน
ด้านตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาโครงการได้ชี้แจงว่า ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง แต่บริเวณนี้มีปัญหาการจราจรชัดเจน เพราะเป็นจุดตัดของถนน 5 จุด ในอนาคตเส้นทางดังกล่าวจะช่วย ระบายความหนาแน่นของปริมาณรถที่สัญจรในบริเวณนี้ ซึ่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไม่สามารถช่วยลดปริมาณรถขนส่งทางอุตสาหกรรมได้
ส่วนข้อกังวลเรื่องผลกระทบและการเยียวยาของประชาชนที่ถูกเวนคืน และมลภาวะทางอากาศ และทางเสียงหลังเปิดใช้โครงการ น.ส.กชพรรณ เข็มทอง ผู้อำนวยการกองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ ฝ่ายนโยบายและแผน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ระบุว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะให้ความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบทุกรายรวมทั้งมีมาตรการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งคุณภาพ อากาศ คุณภาพเสียง
นอกจากนั้น ตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาและผู้จัดการโครงการ ยืนยันว่า ข้อห่วงใยของประชาชนทั้งหมด จะถูกนำกลับไปปรับปรุงแก้ไขและพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมทั้งจะบรรจุลงในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและรายงานการดำเนินโครงการ เพื่อเสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และคาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จเปิดใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2568