นายกรัฐมนตรี ยืนยันประเทศไทยจะมีวัคซีนโควิด-19 ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่น

24 ตุลาคม 2563, 11:02น.


          นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เร่งรัดให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติแล้วโดยขณะนี้ได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ผ่านการดำเนินการ 3 แนวทาง ได้แก่



1) การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองภายในประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 400 ล้านบาท)



2) การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 600 ล้านบาท) และ



3) การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้



          1. การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองในประเทศไทย



          แนวทางแรกนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ในภาวะที่มีความต้องการใช้วัคซีนสูง ในขณะที่การผลิตในช่วงแรกอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก



          ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนในประเทศไทยที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด และอยู่ระหว่างเตรียมเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วัคซีนชนิด DNA โดย บริษัท ไบโอเนท-เอเซีย จำกัด และ วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดโปรตีนจากพืช โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งผู้วิจัยได้เข้าหารือกับหน่วยงานด้านควบคุมกำกับคุณภาพวัคซีนของประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ดำเนินอยู่บนกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และอยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือหรือพัฒนาศักยภาพในด้านการขยายขนาดการผลิต เพื่อทำการผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในมนุษย์ ตามแผนที่วางไว้คือ ในไตรมาสแรกของปี 2564



          2. การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ



          แนวทางนี้เป็นการเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 จากผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 และวัคซีนมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทั้งในเอเชียและยุโรป เช่น บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ที่มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด โดยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาได้มีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ร่วมกับบริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่สำคัญ ดังนี้ คือ กระทรวงสาธารณสุข, บริษัทสยาม ไบโอไซเอนซ์ จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด และ บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด โดยขอบข่ายของหนังสือแสดงเจตจำนงครอบครอบคลุมถึงความร่วมมือ ในด้านการพัฒนาศักยภาพการผลิตวัคซีนของหน่วยงานภายในประเทศ โดยให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 แห่งหนึ่งของบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด และมีการตกลงที่จะยอมรับความเสี่ยงในการผลิตร่วมกัน รวมทั้งการประสานกับหน่วยงานควบคุมกำกับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีนได้



          ทั้งนี้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด คือ บริษัทผู้ผลิตยาชีววัตถุผ่านเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งเดียวของคนไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คิดค้น พัฒนา ผลิตวัตถุดิบยา ผลิตยา บรรจุยา และจัดจำหน่ายยาชีววัตถุ ตั้งแต่ก้าวแรกของการผลิตจนนำส่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบยาจากภายนอก ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2552 เพื่อสานต่อพระราชปณิธานใน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงริเริ่มเรื่องการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพของคนไทยไว้ ตามพระราชดำรัสที่เคยพระราชทานไว้ว่า “ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติก็คือพลเมือง นั่นเอง”



          แนวทางนี้มีการเจรจาเพื่อให้เกิดการลงนามความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อเตรียมการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโด๊ส (ร้อยละ 20 ของประชากร) ให้แก่ประชากรไทย



          ขณะนี้ ทุกภาคส่วนได้เร่งดำเนินการเจรจาต่อรองในประเด็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2563



          3. การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ แนวทางนี้เป็นการจองล่วงหน้าผ่าน COVAX Facility และการตกลงแบบทวิภาคี ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมใน COVAX facility เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 และได้มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับกรมควบคุมโรค กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีนในประเทศ เร่งประสานความร่วมมือ เพื่อให้ประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้



.....

ข่าวทั้งหมด

X