เตรียมเสนอ ครม.ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ศบค.ย้ำ ไม่เกี่ยวการชุมนุม ยังไม่หารือลดวันกักตัว

         การเปิดให้นักท่องเที่ยวแบบสเปเชียลทัวริสต์วีซ่า หรือ  STV เดินทางเข้าประเทศไทย ในการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยว่า จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ขยายพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นคราวที่ 7 เนื่องจากยังมีความจำเป็น เพราะยังไม่มีกฎหมายไหนครอบคลุมการทำงานของทุกหน่วยงานให้เชื่อมโยงกันได้  พระราชบัญญัติโรคติดต่อก็อยู่ระหว่างแก้ไข จึงยังต้องใช้ พ.ร.ก.ไปก่อน  ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด เพราะมาตรา 9 ในการควบคุมโรค ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม

          ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงเรื่องลดเวลากักตัว นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า วันนี้ยังไม่นำเข้าสู่ที่ประชุม ศบค.แต่มีแนวโน้มจากหลายหน่วยงานด้านสาธารณสุข ที่มีความเห็นตรงกันว่า การกักตัว 14 วัน จะช่วยให้ควบคุมโรคได้ดีที่สุด หากลดเวลากักตัวเหลือ 10 วัน จะควบคุมโรคได้ประมาณร้อยละ 95 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ปรับได้ โดยหากลดวันกักตัว ก็อาจจะไปเพิ่มมาตรการอื่นแทน เช่นการตรวจโรคที่เพิ่มขึ้นหรือการติดตามตัว 

         ด้านความกังวลว่าการลดเวลากักตัวอาจจะทำให้มีการระบาดของโรคอีก นพ.ทวีศิลป์ ระบุว่า ขณะนี้ประเทศมีทรัพยากรเพียงพอในการรองรับผู้ป่วย รวมทั้งกระบวนการกักตัวต่างๆ ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องรับผิดชอบ หากสามารถเวลากักตัวลงได้ เข้าใจและอยู่กับโรคได้ ยอมให้มีการติดเชื้อบ้าง เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น

          สำหรับการเปิดให้นักท่องเที่ยวแบบสเปเชียลทัวริสต์วีซ่า หรือ  STV จำนวน 39 คน เดินทางเข้าประเทศมาเมื่อวานนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ยังต้องกักตัว 14 วัน ก่อนจะให้ไปท่องเที่ยวได้ โดยมีการวางแผนท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 1 เดือน  นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายประเทศ ที่แสดงความต้องการจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะประเทศที่กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ก็อยากจะหนีหนาวมาเที่ยวในไทยบ้าง เช่น ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้หลักเกณฑ์การประกาศจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขว่า ประเทศใดที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคระดับต่ำและระดับกลาง ก็จะทยอยอนุมัติให้เข้ามา โดยมีเงื่อนไขด้านมาตรการสาธารณสุขที่เข้มงวด คือจะต้องกักตัวก่อนเป็นเวลา 14 วัน ส่วนการติดต่อขอวีซ่าเพื่อเข้ามายังเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดูแล  

        นอกจากนั้น การเปิดให้ต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย ที่ผ่านการอนุมัติแล้วหลายกรณี เช่น การเดินทางเข้ามาของคณะมนตรีแห่งรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนและคณะ,การอนุญาติให้ลูกเรือสัญชาตอังกฤษและเช็ก เดินทางเข้ามาทางน้ำ,การอนุญาตให้สายการบินทำการบินแบบผู้โดยสารเปลี่ยนลำหรือทรานสเฟอร์,การอนุญาตให้เรือยอร์ชและเรือครุยเซอร์ ประมาณ 60 ลำ จำนวนคน 600-650 คน โดยต้องกักตัว 14 วัน ตรวจสารคัดหลั่งในโพรงจมูก,การอนุญาตให้ลูกเรือต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อขึ้นเรือกลับประเทศ และการผ่อนผันกลุ่มบุคคลเข้าประเทศไทย โดยกักตัวแบบ Wellness Quarantine และ Wellness Program เช่น นวดสปา สปาแอนด์รีสอร์ท กลุ่มผู้สูงอายุที่เข้ามารักษาสุขภาพ ซึ่งนอกจากโรงแรมและโรงพยาบาลจะมีรายได้จากกลุ่มนี้แล้ว ยังเตรียมแผนกระจายรายได้ให้สินค้าโอท็อป และสินค้าพื้นถิ่นที่อยู่ในพื้นที่กักตัวด้วย,นอกจากนี้ยังอนุญาตให้เพิ่มพื้นที่ผู้ชมกีฬาในสนามได้  ขณะที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็เตรียมทำระบบติดตามตัว แบบริสแบนด์หรือสายรัดข้อมือ และแบบแอปพลิเคชั่น คาดว่าประมาณวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้จะสามารถใช้งานได้