การวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบเพื่อนำมาใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ถือเป็นความหวังหนึ่งในการป้องกันและรักษาโรคนี้ หลังเกิดการระบาดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกหลายล้านคน ซึ่งขณะนี้นักวิจัยทั่วโลก ทั้งจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย บริษัทยาขนาดใหญ่ หรือสตาร์ทอัพ ต่างก็กำลังเร่งค้นคว้าวิจัยและแข่งกันพัฒนาวัคซีนต้นแบบนี้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีผลิตวัคซีนอยู่หลายรูปแบบ มีความซับซ้อนแตกต่างกันไป รวมทั้งต้องใช้โรงงานผลิตที่มีศักยภาพแตกต่างกันไปด้วย
ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็เป็นเจ้าภาพในการแสวงหาความร่วมมือในการจองใช้วัคซีนที่ต่างชาติผลิตสำเร็จ รวมทั้งให้งบประมาณนักวิจัยในไทย ไปพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศเองด้วย
การแสวงหาความร่วมมือและการเจรจาแบบทวิภาคีกับหลายบริษัทหลายหน่วยงานในต่างประเทศ ตอนนี้ไทยร่วมจองวัคซีนที่โครงการ COVAX Facility ซึ่งเป็นโครงการที่มีบริษัทพัฒนาวัคซีนกว่า 20 บริษัททั่วโลกเข้าร่วม หากบริษัทใดพัฒนาได้สำเร็จ ทดลองใช้ในคนได้ผล ไทยก็จะขอจองใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คาดว่า ไม่น่าจะเกินกลางปี 2564 แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตวัคซีนด้วยว่า จะทำสำเร็จเมื่อไหร่

อีกช่องทางหนึ่งที่ไทยไปแสวงหาความร่วมมือด้านการขอถ่ายทอดเทคโนโลยี ก็คือความร่วมมือระหว่างบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ของไทย กับบริษัทแอสตราเซนเนกาและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ของอังกฤษ ซึ่งตามข้อตกลงนั้น หากบริษัทแอสตราเซนเนกาและมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด สามารถพัฒนาวัคซีนต้นแบบได้สำเร็จ ก็จะนำมาผลิตที่โรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 60 ล้านบาท ในการปรับปรุงศักยภาพของโรงงาน ให้สามารถรองรับการผลิตวัคซีนให้ได้ ภายในเดือนมิถุนายน 2564 เนื่องจากไทม์ไลน์การพัฒนาวัคซีนของแอสตราเซนเนกาและอ๊อกซ์ฟอร์ด เบื้องต้นกำหนดไว้ว่า ต้องผ่านการทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 และผลิตในเดือนธันวาคม จากนั้นต้องขึ้นทะเบียนที่ประเทศต้นทาง คือ อังกฤษ และมาขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ในไทย หากผ่านกระบวนการต่างๆแล้ว ไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และพร้อมผลิตได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2564 คาดว่ากำลังการผลิตประมาณ 180-200 ล้านโดสต่อปี หรือ 15 ล้านโดสต่อเดือน เมื่อผลิตได้ก็ทยอยนำออกใช้กับประชาชน แต่กรณีนี้ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขว่า การพัฒนาวัคซีนของแอสตราเซนเนกา ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าผลการทดสอบวัคซีนของแอสตราเซนเนกาไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียเปล่า เพราะเท่ากับไทยก็ยังมีโรงงานที่มีศักยภาพรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนจากบริษัทอื่นๆ ที่อาจจะทดสอบสำเร็จ เพราะไทยไม่ได้ผูกมัดเพียงเจ้าเดียว แต่มีการเจรจาทำข้อตกลงกับบริษัทหรือสถาบันอื่น ๆที่อยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนด้วย

เราไม่ได้เพียงแค่ไปจองขอใช้วัคซีนจากบริษัทต่างชาติเท่านั้น แต่เรายังทุ่มเทงบประมาณด้านการวิจัย ให้กับสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เร่งค้นคว้าพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ด้วยตัวเอง รวมทั้งให้งบประมาณในการปรับปรุงโรงงานผลิตวัคซีน เพื่อให้เราสามารถผลิตวัคซีนต้นแบบของเราเองได้ด้วย ซึ่งก็มีความคืบหน้าไปมาก
นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและการพัฒนาวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แบบ mRNA ซึ่งเป็นการถอดรหัสจากยีนของไวรัส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด การวิจัยพัฒนาจึงค่อนข้างยาก แต่นักวิจัยไทยคิดค้นสูตร จนสามารถเตรียมพร้อมในการนำไปทดลองกับคนในระยะที่ 1 ได้แล้ว แต่เนื่องจากว่าการผลิตวัคซีนแบบ mRNA เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ไทยจึงยังไม่มีโรงงานที่มีศักยภาพเพียงพอในการผลิตเอง และทั่วโลกเองก็มีโรงงานที่มีศักยภาพในการผลิตรูปแบบนี้เพียงไม่กี่แห่งด้วย ไทยจึงต้องเข้าคิวส่งสูตรวัคซีนที่คิดค้นขึ้นได้นี้ ไปให้โรงงานในต่างประเทศผลิตให้ โดยส่งไปผลิตเนื้อวัคซีนที่โรงงานในสหรัฐฯ แล้วส่งต่อไปโรงงานในแคนาดา เพื่อผลิตไขมันเคลือบวัคซีน คาดว่าจะถึงคิวของไทยในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 จากนั้นจะนำวัคซีนดังกล่าวมาทดสอบในคนระยะที่ 1 โดยกระบวนการผลิตวัคซีน จะมีหน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. และคณะกรรมการจริยธรรมของแพทย์มาควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัย
.jpg)
วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แบบ mRNA ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯนี้ จะต้องทดลองในคนระยะที่ 1 และ 2 ให้ผ่านก่อน หากใช้ได้ผลดี กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ก็จะนำผลไปเทียบกับต่างประเทศที่มีการทดลองผลในระยะที่ 3 ว่าได้ผลเทียบเท่ากันหรือไม่ เนื่องจากไทยไม่สามารถทดลองในคนระยะที่ 3 ได้ เพราะต้องใช้ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก แต่ไทยก็ได้เจรจาเบื้องต้นกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย ว่าหากจำเป็นต้องทดลองในระยะที่ 3 ก็อาจจะขอไปทดลองในประเทศเพื่อนบ้านได้ เมื่อได้การรับรองจาก อย.ว่าผลการทดลองมีประสิทธิภาพจริง ใช้กับคนได้อย่างปลอดภัย ก็จะดำเนินการขออนุญาตผลิตได้ทันที
นอกจากนี้ ไทยยังมีสถาบันวิจัยที่กำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในรูปแบบอื่นด้วย เช่น แบบโปรตีนเบส วัคซีน (Protein-Based Vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดโปรตีนจากพืช โดยผู้พัฒนาวัคซีนชนิดนี้ คือ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด รวมทั้งยังมีมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ที่กำลังพัฒนาวัคซีนแบบไวรัลเว็คเตอร์ (Viral Vector Vaccine) คือ ใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงแล้วไม่ทำให้เกิดโรค มาตัดต่อใส่สารพันธุกรรมของ Coronavirus ลงไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หากมีบริษัทหรือหน่วยงานใดที่สามารถพัฒนาได้สำเร็จ ก็สามารถส่งมาผลิตที่โรงงานผลิตวัคซีนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ได้รับงบประมาณในการปรับปรุงโรงงาน 2 แห่ง ให้รองรับการผลิตวัคซีนแบบไวรัลเว็คเตอร์ และแบบโปรตีนเบสได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานในไทยหรือจากต่างประเทศ ที่สามารถพัฒนาวัคซีนแบบไวรัลเว็คเตอร์และแบบโปรตีนเบสได้ ก็สามารถนำมาผลิตที่โรงงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ เพราะมีความพร้อมและมีศักยภาพ
ในส่วนของภาคเอกชนเอง ก็กำลังเร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่นกัน อย่างเช่น บริษัทไบโอเนท-เอเชีย ที่ขณะนี้พัฒนาวัคซีนแบบดีเอ็นเอวัคซีน ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยการใช้สารพันธุกรรมในการเริ่มต้นการสร้างวัคซีน ทำให้มีความปลอดภัยมาก โดยบริษัทไบโอเนท-เอเชีย มีโรงงานของตัวเองที่สามารถผลิตวัคซีนได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากใคร แต่จะต้องวิจัยพัฒนาวัคซีนจนกว่าจะรับรองได้ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้จริง และขึ้นทะเบียนในไทย สามารถผลิตได้เองตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนวัคซีนชนิดไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษาป้องกันโควิด-19 ได้มากกว่ากัน ยังไม่มีใครทราบ เพราะต้องรอผลการทดสอบที่จะออกมา ไทยจึงพยายามศึกษา สนับสนุน และหาแนวทางการพัฒนาวิจัยและผลิตวัคซีนไว้หลายๆประเภท รวมทั้งลงนามความร่วมมือกับหลายๆหน่วยงาน เพื่อให้ไทยเข้าถึงวัคซีนที่พัฒนาสำเร็จได้เร็วที่สุด กระทรวงสาธารณสุขและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตั้งเป้าหมาย ให้สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ 50% ของประชากรไทย
CR.ภาพจากเว็บไซต์สถาบันวัคซีนแห่งชาติ