ดร.ซาบรา ไคลน์ จากภาควิชาชีววิทยาระดับโมเลกุลและวิทยาภูมิคุ้มกัน วิทยาลัยสาธารณสุขบลูมเบิร์ก มหาวิทยาลัยจอห์นสฮอปกินส์ สหรัฐฯในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยเปิดเผยว่า ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์พบว่า พลาสมาจากเลือดของคนไข้โรคโควิด-19 ที่ป่วยหนักที่สุดที่หายป่วยอาจจะนำมาใช้รักษาโรคโควิด-19 ได้ดีที่สุด เป็นการนำเอาพลาสมาจากเลือดของคนที่หายป่วย ซึ่งมีสารภูมิคุ้มกันมาใช้รักษาคนไข้ (convalescent plasma) หลังมีแพทย์หลายคนใช้วิธีนี้เพื่อรักษาคนไข้โควิด-19
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ศึกษาตัวอย่างพลาสมาจากคนไข้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 จำนวน 126 คน พบตัวแปรเรื่องระดับสารภูมิคุ้มกันและความสามารถในการยับยั้งเชื้อไวรัส ขณะที่ ปัจจัยเรื่องอายุและเพศ มีความสำคัญเช่นกันคือ กลุ่มชายสูงอายุที่ป่วยหนักถึงขั้นนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแล้วหายป่วย เป็นกลุ่มคนไข้ที่แพทย์แนะนำว่า ควรจะบริจาคพลาสมามากที่สุด ระบุว่า 3 ปัจจัยที่ผู้วิจัยพบว่า ช่วยกระตุ้นสารภูมิคุ้มกันในร่างกายจนกระทั่งหายจากอาการป่วย คือ เป็นคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 จนถึงขั้นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล, เป็นผู้สูงอายุ และเป็นเพศชาย
ผลศึกษาชี้ว่า ยิ่งคนไข้ที่ป่วยหนักแล้วหายป่วยก็ยิ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งมากขึ้น ผู้วิจัยจึงเสนอแนะให้พิจารณาเรื่องเพศ, อายุและความรุนแรงของอาการป่วยในการคัดเลือกผู้บริจาคพลาสมาสำหรับใช้รักษาโรค เนื่องจากเป็นลักษณะสำคัญ ไม่เพียงแต่พิจารณาในแง่ของปริมาณสารภูมิคุ้มกัน แต่เป็นการคัดเลือกพลาสมาที่มีคุณภาพไปใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ด้วย
Cr: CNN,carle org