หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในที่ประชุม นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รายงานถึงผลการประมาณการเศรษฐกิจ ตามข้อมูลกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ได้พิจารณาตัวเลขประมาณการของประเทศไทย ที่ได้มีการปรับไปในทางที่ดีขึ้น ล่าสุดติดลบร้อยละ 7.1 จากเดิมที่ประเมินไว้ติดลบร้อยละ 7.7 สะท้อนให้เห็นสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศที่ดีขึ้นภายหลังผ่อนคลายปลดล็อกในวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 รวมถึงการออกมาตรการของรัฐบาลที่เพิ่มสภาพคล่องในเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ประกอบทุกกลุ่ม ส่งผลให้มีแนวโน้มที่ดีในสภาพคล่องทางการเงินของเอเชียฟื้นตัวเร็วกว่าในส่วนอื่นของโลก ในช่วงไตรมาสที่ 3 และคาดว่าจะต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 4 ด้วย
นายอาคม ยอมรับว่า ปัญหาใหญ่ขณะนี้ คือสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการภายใต้ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความชัดเจนว่า จะไม่มีต่อมาตรการซอฟต์โลน และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ โดยขณะนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการประสานกับธนาคารพาณิชย์ ในเรื่องของมาตรการต่อเนื่องทั้งลูกหนี้ที่กลับมาดำเนินการธุรกิจตามปกติและกลุ่มลูกหนี้ที่กลับมาทำธุรกิจแต่ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้และกลุ่มที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย รวมถึงกลุ่มที่ขาดการติดต่อกับสถาบันการเงินในระบบ
นายอาคม ย้ำว่า มาตรการเสริมสภาพคล่อง การพักชำระหนี้ หรือชะลอการชำระหนี้ กระทรวงการคลังจะดูแลอย่างต่อเนื่องในขอบเขตหน้าที่ของสถาบันการเงินของรัฐเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในขั้นตอนของการประสานงานของธนาคารทั้งหมดและคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นสัปดาห์หน้า