ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563
องคมนตรี เชิญถุงพระราชทานมอบแก่ราษฎรที่ประสบเหตุอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญถุงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 1,380 ถุง ไปมอบแก่ราษฎรที่ประสบเหตุ อุทกภัยและผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่อำเภอปักธงชัย ตั้งแต่วันที่ 15-18 ตุลาคม 2563 ทำให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันเป็นวงกว้างในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ประกอบกับสภาพภูมิประเทศ เป็นที่ลาดเชิงเขาและป่าไม้ และการระบายน้ำออกท้ายเขื่อนของเขื่อนลำพระเพลิง ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่อำเภอต่าง ๆ ทำให้บ้านเรือนราษฎร ทรัพย์สิน ถนน สะพาน ฝายเก็บน้ำ และพื้นที่ทางการเกษตรในพื้นที่ 9 อำเภอ 14 ตำบล 81 หมู่บ้าน ได้รับความเสียหาย ราษฎรได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบ 1,380ครัวเรือน โดยหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน มูลนิธิ องค์กร และจิตอาสาพระราชทาน ได้ระดมให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติต่อไป
นายกฯ ลงพื้นที่ปักธงชัย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-แจกถุงยังชีพ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมพร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ ลงพื้นที่ เทศบาลเมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าแก้ไขปัญหาน้ำท่วม อ.ปักธงชัย ได้เดินทางมาเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ อ.ปักธงชัย พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องประชาชนชาว อ.ปักธงชัย โดยมีนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา สรุปรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ อ.ปักธงชัย ต่อมานายกฯ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยในชุมชนตลาดเทศบาลเมืองปัก ย่านชุมชนบ่อปลา พร้อมกับแจกถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชน นอกจากนี้ ยังใจดีร่วมถ่ายรูปกับชาวบ้าน ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่คลองธรรมชาติช่วงผ่านเทศบาลเมืองปัก เริ่มมีน้ำเอ่อล้นเข้ามาท่วมพื้นที่ภายในตลาดแล้วทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าในคืนนี้จะมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางเทศบาลเมืองปัก ได้จัดเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนแล้ว
ผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน สั่งคุมเข้มสถานประกอบการป้องกันโควิด-19แพร่ระบาดในพื้นที่
นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จังหวัดได้รับหนังสือสั่งการจากกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้จังหวัดตามแนวชายแดนเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังมิให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้ามาในประเทศโดยผิดกฎหมายและไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรคติดต่อ ทั้งนี้ให้มีการบูรณาการกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ในการติดตามค้นหาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย ในสถานประกอบการและสถานที่ทำงานที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว ทั้งนี้หากพบให้ดำเนินการตามระเบียบ/กฎหมายและมาตรการทางด้านสาธารณสุขต่อไป พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เตือนให้ประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน ช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่อง
ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์อิรวดีของเมียนมารายงานว่า รัฐกะยา หรือกะเหรี่ยงแดง ซึ่งอยู่ติดชายแดนไทย ใกล้กับจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคนติดเชื้อโควิด-19 แล้ว โดยผู้ติดเชื้อในรัฐนี้เป็นนางพยาบาลอายุ 35 ปีที่เพิ่งไปเข้าร่วมการฝึกด้านการแพทย์ที่โรงพยาบาลตา หู คอ จมูกในนครย่างกุ้งของเมียนมาเป็นเวลา 9 เดือน ก่อนตรวจพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นบวกระหว่างที่เจ้าตัวกักตัวอยู่ภายในสถานกักกันแห่งหนึ่ง ในเมืองลอยกอ ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐกะยา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เตรียมตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในพยาบาลที่อยู่ในแผนกเดียวกันกับนางพยาบาลรายนี้ การพบผู้ติดเชื้อในรัฐกะยา ซึ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายที่พบผู้ติดเชื้อ เท่ากับว่าตอนนี้การระบาดของโควิด-19 ได้เดินทางไปในทุกพื้นที่ของประเทศเมียนมาแล้ว เบื้องต้น ทางการรัฐกะยามีกฎกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากรัฐอื่น 14 วัน และเพิ่มเวลากักตัวอยู่บ้านอีกหนึ่งสัปดาห์ด้วย โดยข้อมูลของทางการล่าสุด มีการกักตัวประชาชนแล้วราว 360 คน เพื่อติดตามอาการว่าติดเชื้อไวรัสหรือไม่
ออสเตรเลียเริ่มผ่อนคลาย ล็อกดาวน์ รัฐวิกตอเรีย หลังผู้ป่วยใหม่ลดลง
นายแอนดรูว์ แดเนียล มุขมนตรีของรัฐวิกตอเรีย ออสเตรเลียเปิดเผยว่า ออสเตรเลียเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในรัฐวิกตอเรียในวันนี้ โดยอนุญาตให้ประชาชนเดินทางจากบ้านเรือนไปยังสถานที่ต่างๆได้ตามปกติ หลังล็อกดาวน์มากว่า 100 วันเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารจะต้องรอไปอีกระยะหนึ่งจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทำให้เจ้าของร้านบางคนแสดงความไม่พอใจกับมาตรการของภาครัฐ
ก่อนหน้านี้ ออสเตรเลียรณรงค์ให้ประชาชน 5,000,000คนในนครเมลเบิร์น อยู่บ้านเพื่อลดโรค โดยยอมให้ออกจากบ้านวันละ 2 ชั่วโมงเพื่อออกกำลังกายในลานกลางแจ้ง แต่จะต้องอยู่ห่างจากบ้านไม่เกิน 25 กม.นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงห้ามการรวมกลุ่มของคนหมู่มากในสถานที่สาธารณะ ส่วนร้านค้าปลีกและร้านอาหารสามารถจะเปิดให้บริการได้ในลักษณะซื้ออาหารไปรับประทานที่บ้านหรือการบริการแบบเดลิเวอรี่ โดยรัฐบาลท้องถิ่นจะอนุญาตให้พวกเขาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ด้านนางคริสซี มาอุซ ผู้จัดการทั่วไปของสมาคมผู้ค้าปลีกในนครเมลเบิร์น ตัวแทนร้านค้าขนาดเล็กราว 2,200 คน กล่าวว่ามีเจ้าของร้านค้ารายย่อยหลายแห่งแสดงความรู้สึกผิดหวัง ที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พวกเขาเปิดทำการตามปกติแต่ให้รอไปจนถึงสิ้นเดือนนี้จึงเปิดให้บริการ
ออสเตรเลียพบผู้ป่วยรายใหม่ 8 คน ในจำนวนนี้รวมถึง 4 คนในรัฐวิกตอเรีย ลดลงจากที่มากกว่า 700 คนต่อวันในต้นเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีผู้ป่วยสะสม 27,399 คน เสียชีวิต 904 ราย
ทอท. ยอมรับผลกระทบโควิด-19 รายได้ลดลง
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยภาพรวมแผนการดำเนินงานของทอท.ว่า ในปัจจุบัน ทอท. ยังสามารถดำเนินการได้ตามแผนโดยในช่วงปีงบประมาณที่ผ่านมานั้นทอท.มีรายได้ 4 เดือน และสามารถครอบคลุมรายจ่ายได้ตลอด 8 เดือนที่เหลือที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่สถานะทางการเงินปัจจุบันทอท.มีกระแสเงินสดอยู่ประมาณ 41,000 ล้านบาท ซึ่งตามประมาณการณ์หากวัคซีนรักษาโควิด-19 ออกมาได้ในช่วงกลางปี 2564 ก็ยังสามารถดำเนินการบริหารจัดการได้ถึง มิ.ย. 2564 หากเกินกว่านั้น ทอท.อาจจะต้องกู้เงินระยะสั้น เพื่อมาช่วยในการบริหารจัดการ โดยจะต้องมีการคำนวณว่าจะต้องดำเนินการกู้เท่าไหร่
สำหรับแผนการดำเนินการในปี2564 ทอท. มีแผนลงทุนวงเงินประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge : PSC) นั้น ปัจจุบัน ทอท.มีผู้โดยสารภายในประเทศรวมทั้งหมดประมาณ 80,000-90,000 คนต่อวัน ทำให้มีรายได้จาก PSC เฉลี่ย 100 ต่อคน รวมรายได้ประมาณ 8-9 ล้านบาทต่อวัน หรือ 240-270 ล้านบาทต่อเดือน
3 ฝ่ายเห็นพ้องเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ แก้ปัญหาการเมือง
หลังหารือ 3 ฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และคณะรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวว่าที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้คณะรัฐมนตรีขอเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เพื่อหาทางออกสำหรับบ้านเมืองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับต่อสายโทรศัพท์พูดคุยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จริงตั้งแต่สัปดาห์ก่อน เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรียกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ขณะที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองไม่ขัดข้องเปิดประชุมวิสามัญ แต่ต้องดำเนินการทำเรื่องเหลือเวลา 11 วัน เข้าใจดีว่าเวลามีค่าในการคลี่คลายสถานการณ์ นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการพูดถึงการเสนอให้มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 165 และให้ ส.ว. มีส่วนร่วมด้วย ซึ่งทุกคนเห็นด้วย แต่ยังติดที่เงื่อนเวลาที่อีกไม่กี่วันจะเปิดสมัยสามัญแล้ว ซึ่งจะหารือกันต่อไป
ชุมนุมกดดันหุ้นไทย ปิดตลาดลดลง 24.93 จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดวันนี้ที่ระดับ 1,208.75 จุด ลดลง 24.93 จุด มูลค่าการซื้อขาย 54,008.12 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงและอ่อนแอกว่าตลาดภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่ปรับตัวอยู่ในแดนบวก รับความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาอยู่ในทิศทางที่ดี แต่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขายออกมาหนาแน่น จากความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังคงมีการชุมนุมต่อเนื่อง
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่า สหรัฐฯจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเยียวยาผลกระทบของโควิด-19 ได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ 23,671.13 จุด เพิ่มขึ้น 260.50 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่า สหรัฐฯจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบของโควิด-19 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดวันนี้ที่ 24,542.26 จุด เพิ่มขึ้น 155.47 จุด
รองนายกฯ ย้ำการชุมนุมต้องระมัดระวัง เป็นห่วงเศรษฐกิจประเทศ
การชุมนุมทางการเมือง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะการกระทำในกรอบของกฎหมายไม่มีใครว่า แต่การกระทำนอกกรอบกฎหมายจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย ตอนนี้ก็ได้แต่เสียดายประเทศไทยเริ่มฟื้นขึ้นมาเหมือนคนป่วยที่ออกมานั่งพักรอจะเดินได้แล้ว ต้องมาสะดุด โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ที่ยอมรับว่า สะดุด แต่ไม่คิดว่าสะดุดยาว เพราะหน้าที่ของคนกลุ่มใหญ่ทั้งประเทศที่มีร้อยละ95 ก็ต้องช่วยกันประคับประคอง โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศ ผ่านมาตรการของรัฐที่ออกมาแล้ว ทำให้ในขณะนี้ต้องใช้ความอดทนเรื่องของการเมืองก็ต้องใช้การเมืองเข้าไปแก้ ถ้าเอาประเทศเป็นที่ตั้ง ในจังหวะเวลานี้ ถ้าทุกคนฟังเหตุฟังผลกัน โดยเรื่องที่ขอกันมันอยู่ในกระบวนการทางการเมือง ยกเว้นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย” ในการประชุมสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน และสมาคมธุรกิจต่างๆ ด้วยว่า เศรษฐกิจในปีนี้ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ แต่รัฐบาลก็พยายามประคับประคองเศรษฐกิจ โดยให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบหลายมาตรการใช้เม็ดเงินในมาตรการต่างๆ ไปแล้วกว่า 8 แสน-1 ล้านล้านบาท และเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจต่างๆ ที่เริ่มดีขึ้น แต่ก็ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการระบาดระลอกที่ 2 ที่มีความรุนแรงกระจายไปทั่วประเทศอีกเพราะจะต้องใช้เงินอีกมหาศาลในการแก้ไข
ผบ.ตร.ย้ำยังไม่ยกระดับกฎหมาย ไม่ปิดสื่อ เน้นเจรจากลุ่มผู้ชุมนุม
การดูแลผู้ชุมนุม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ยังไม่จำเป็นต้องยกระดับกฎหมาย เนื่องจากผู้มาชุมนุมถือว่า ทำผิดทุกวันต้องถูกดำเนินคดีอาญาอยู่แล้ว แต่จะพยายามใช้การพูดคุยเจรจา โดยในฐานะผู้รักษากฎหมายมีหน้าที่ดูแลทั้ง 2 ฝ่าย คือ ผู้ที่เห็นด้วย และผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม ขอให้ประชาชนเข้าใจการทำหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดูแลทุกคน ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อแค่ไหนไม่ขอคาดการณ์ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีนโยบายปิดสื่อ และไม่ได้ดำเนินการปิดสื่อหรือดำเนินการใดๆ ตามที่มีข่าว แต่ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการนำเสนอข้อเท็จจริง อย่าชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบ
ส่วนที่มีการปิดการจราจรพื้นที่โดยรอบการชุมนุมนั้น ผบ.ตร.ย้ำว่า เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายแรง หากมีผู้ที่มีความเห็นต่างผ่านเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมนับเป็นภารกิจที่รับผิดชอบ เป็นเรื่องที่เจอมาตลอดชีวิตการทำงาน ซึ่งเหลือเวลาทำงานอีกแค่ 2 ปี ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงประเทศชาติ
"ดีอีเอส" แถลงพบโพสต์ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กว่า 300,000 เรื่อง
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงฯ แถลงผลการดำเนินงานของศูนย์เฝ้าระวังและติดตามเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ตามนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่า ตั้งแต่ศูนย์ฯ ได้ดำเนินการเฝ้าระวังมาตั้งแต่วันที่ 13-18 ต.ค.2563 ได้ตรวจสอบผลข้อความที่ไม่เหมาะสมจำนวนกว่าล้านข้อความ เมื่อทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นข้อความที่ไม่เหมาะสม 322,990 เรื่อง จากข้อความที่ตรวจพบล่าสุด 1.6 ล้านข้อความ แบ่งเป็น ทวิตเตอร์ 75,076 เรื่อง เฟซบุ๊ก 245,678 เรื่อง และเว็บบอร์ด 4,236 เรื่อง พร้อมเตือนประชาชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียจะโพสต์ข้อความ และภาพในสถานการณ์ใดๆ ต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดต่อกฎหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ได้ติดตามและมอนิเตอร์ ความเคลื่อนไหว การใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงผู้ที่ทำการแชร์ข้อมูลรีทวิต ที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการเอาผิดทางคดีตามขั้นตอนของกฎหมายทันที และหากพบว่ามีเพจที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและบุคคลมีชื่อเสียง อาจเข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน