ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563

19 ตุลาคม 2563, 08:44น.


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาเทคนิคตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากน้ำลาย



         นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาเทคนิคตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับการตรวจที่ไม่ใช่เพื่อการกักตัว เทคนิคที่พัฒนาขึ้นเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากน้ำลาย โดยจะนำน้ำลาย 6 คน มารวมกันเป็น 1 กลุ่มแล้วตรวจหาเชื้อ หากกลุ่มใดพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ก็แยกตรวจตัวอย่างน้ำลายทั้ง 6 คนอีกครั้ง เพื่อหาผู้ที่ติดเชื้อต่อไป เทคนิคการตรวจด้วยน้ำลายนี้ มีความแม่นยำร้อยละ 80-90 มีค่าใช้จ่ายลดลง 3-4 เท่าจากที่ปัจจุบันการตรวจมาตรฐานมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อครั้ง 1,600 บาท ก็จะลดลงเหลือประมาณ 400 บาท กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีแนวคิดนำเทคนิคการตรวจน้ำลายนี้ไปใช้กับกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย



          ส่วนการกักตัวคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศในสถานกักตัวของรัฐ ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละประมาณ 30,000 บาท ในส่วนของแรงงานต่างด้าวและนายจ้างคนไทยก็ไม่สามารถที่จะจ่ายในวงเงินนี้ได้ ทำให้มีแรงจูงใจในการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่จะแพร่ระบาดได้ เพราะจากข้อมูลการจับกุมต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองขณะนี้กว่า 10,000 คน เป็นหลักฐานว่ามีการลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐของไทยจะต้องหารือร่วมกัน เพื่อหาทางออกเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการตรวจและกักตัวแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยให้ลดลงมา เช่น ค่าใช้จ่ายเหลือประมาณ 8,000 บาท หรือ 6,000 บาท อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ยังไม่ได้มีการพิจารณา



          ส่วนที่มีข่าวต่างประเทศรายงานว่าเชื้อโควิด-19 สามารถอยู่บนพื้นผิวต่าง ๆ ได้นานนั้น ประชาชนหากมีการสัมผัสก็ขอให้ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลอนามัยสำหรับล้างมือก็จะลดโอกาสการติดเชื้อลงได้ ส่วนเชื้อโควิด-19 ที่มีรายงานข่าวว่าปนเปื้อนมาในปลาแซลมอล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังเตรียมระบบตรวจสอบแล้ว



ยังเหลือสิทธิลงทะเบียนกว่า 4,000,000 สิทธิ โครงการคนละครึ่ง   



         การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง  อัพเดทข้อมูลวันนี้ รายงานระบุว่า ยังมีสิทธิคงเหลือ 4,167,017 สิทธิ โครงการคนละครึ่ง เปิดรับลงทะเบียนของประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่เมื่อวันนี้ 16 ต.ค.ตั้งแต่เวลา 06.00 น.- 23.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยภาครัฐร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไปของผู้ซื้อ 50% โดยไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาท ต่อคนตลอดระยะเวลาโครงการ



สำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้มีขั้นตอนง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน คือ



1. ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยกรอกข้อมูลชื่อ-สกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดตั้งแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" (คลิ๊กลงทะเบียน)



2. รอรับ SMS แจ้งผลการลงทะเบียน



3. ติดตั้งแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และยืนยันตัวตน และเมื่อดำเนินการครบก็สามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2563 ระหว่างเวลา 06.00 น. 23.00 น.ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิหรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก



ครม.สัญจร ภูเก็ต 2-3 พ.ย. ฟื้นท่องเที่ยวภาคใต้ฝั่งอันดามัน –เตรียมนโยบายท่องเที่ยวแบบ STV



         รัฐบาลเตรียมจัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย.ที่ จ.ภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดอันดามัน คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) นำโดย นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าฯภูเก็ต พร้อมด้วย นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าฯพังงา นายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผู้ว่าฯระนอง นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าฯตรัง นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าฯกระบี่ นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รอง ผู้ว่าฯภูเก็ต และผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ร่วมประชุมหารือเพื่อเตรียมความพร้อมนำเสนอโครงการแผนงานของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันต่อ ครม.




-เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ได้แก่ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต



-เตรียมความพร้อมรองรับนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa : STV) และรูปแบบของการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว (Long Stay)



-การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและคุณภาพระดับโลก การเพิ่มมูลค่าภาคการผลิตเกษตร ประมง และปศุสัตว์ ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม และความต้องการของท้องถิ่นและประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจำเป็นและสำคัญเร่งด่วนต่อการแก้ไขปัญหาในเชิงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19



          นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าฯภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนของจังหวัดภูเก็ตได้กำหนดเสนอโครงการต่อ ครม.จำนวน 8 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการสร้างรายได้และฟื้นฟูเศรษฐกิจ งบประมาณ 308,234,250 ล้านบาท 2.โครงการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ของพื้นที่อย่างยั่งยืนงบประมาณ 775,145,038 ล้านบาท 3.โครงการศูนย์สุขภาพนานาชาติงบประมาณ 5,116,262,532 ล้านบาท 4.โครงการ Phuket Cable Car/Feeder Travel Line งบประมาณ 3,000,000,000 ล้านบาท 5.โครงการถนนเลียบหาดภูเก็ตฝั่งตะวันออก (เส้นทางท่องเที่ยว ชุมชนเกาะผี-บางโรง) งบประมาณ 80,000,000 ล้านบาท 6.โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการศึกษา งบประมาณ 100,000,000 ล้านบาท 7.ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์นานาชาติ งบประมาณ 250,000,000 ล้านบาท และ 8.โครงการพัฒนา กะตะ-กะรน Wellness World Landmark งบประมาณ 87,000,000 ล้านบาท งบประมาณทั้งหมดเกือบ 10,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้หารือเพื่อหาข้อสรุปกับทุกภาคส่วนแล้วและเตรียมนำเสนอครม.ให้ความเห็นชอบต่อไป



         ส่วนโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลก (Phuket Medical Tourism into a World Class Medecal and Wellness Tourist Destination) หรือศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขนานาชาติ (International Medical and Wellness) นพ.เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวว่า จะเป็นโครงการที่เปลี่ยนโลกทัศน์ทางด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ตให้เป็นเมืองท่องเที่ยวด้านสุขภาพระดับโลก สามารถดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาดูแลสุขภาพและท่องเที่ยวที่ภูเก็ต ซึ่งภูเก็ตมีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาพยาบาล ดูแลสุขภาพ เสริมความงาม ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐ รวมถึงการบริการที่ประทับใจและแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงาม โครงการนี้จะสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวให้กับภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 ล้านบาท รวมไปถึงการจ้างงานและรายได้ที่จะเกิดขึ้นในท้องถิ่นภูเก็ต



CR:กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน



กลุ่มนักท่องเที่ยว STV จากจีน กระตุ้นศก.ได้ไม่ถึง1%



          นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึง การเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ (Special Tourist VISA : STV) กลุ่มแรกจากจีนประมาณ 120 คนในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ แม้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวไทย แต่คงไม่สามารถคาดหวังผลเชิงบวกต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากนัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวในกลุ่มดังกล่าวประเมินว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 คนต่อเดือน และจะสร้างรายได้ให้ประเทศราว 1,200 ล้านบาทต่อเดือน เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 3,000,000 คนต่อเดือน และสร้างรายได้ประมาณ 160,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือยังไม่ถึงร้อยละ 1 ทั้งในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว และจำนวนรายได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาด ตามมาด้วย



          สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์หรือคาดการณ์เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงเวลา STV ระยะที่ 1 โดยมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก 924 คน แบ่งเป็น ประเทศจีน 617 คน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 12 คน ไต้หวัน 5 คน ญี่ปุ่น 290 คน ด้านภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ รวม 229 คน ได้แก่ สิงคโปร์ 50 คน บรูไน 2 คน มาเลเซีย 37 คน ออสเตรเลีย 120 คน นิวซีแลนด์ 20 คน ขณะที่ภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง มี 462 คน ได้แก่ รัสเซีย 100-200 คน ฝรั่งเศส 10 คน เนเธอร์แลนด์ 14 คน เบลเยียม 16 คน นักท่องเที่ยวกลุ่มสแกนดิเนเวียและเชงเก้น 120 คน สหราชอาณาจักร 100 คน ขณะที่ภูมิภาคอเมริกา แคนาดามีการสอบถามจำนวน 35 คน และสหรัฐฯ มีการสอบถามจำนวน 34 คน



 



 



 




 

ข่าวทั้งหมด

X