คัดกรองคนขับรถบรรทุกจากเมียนมาเพิ่มกว่า 160 คน ไม่พบติดเชื้อ
นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงผลการตรวจคนขับรถชาวเมียนมา 3 คน ที่ติดเชื้อโควิด-19 ว่าเป็นการตรวจพบจากระบบการคัดกรองเชิงรุก และคัดกรองรถที่ข้ามแดนเข้มข้น รายงานวันที่ 14 ต.ค. มีการตรวจรถทั้งหมด 163 คัน มีคนขับ 163 คน คนโดยสารอีก 18 คน ไม่พบว่ามีเชื้อ
กรณีคนขับชาวเมียนมาติดเชื้อ 3 คน ได้ขยายผลตรวจหาเชื้อในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและคนที่อาจมีความกังวล กลุ่มแรก 1,194 คน ผลเป็นลบทั้งหมด และขยายผลตรวจเพิ่มเติมอีก 4,189 ตัวอย่าง อยู่ระหว่างรอผล สำหรับการสนับสนุนจากส่วนกลางมีการส่งทีมระบาดวิทยา ทีมควบคุมโรคจากส่วนกลางไปร่วมสอบสวนโรคอย่างละเอียด ส่งทีมตระหนักรู้สถานการณ์เข้าไปประเมินความเสี่ยงและวิเคราะห์สถานการณ์ ช่วยแนะนำ ส่งทีมสื่อสารความเสี่ยงไปทำความเข้าใจและให้คำแนะนำประชาชนในการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน
ทีมสาธารณสุขอยู่ระหว่างสรุปบทเรียนค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ทั้งนี้ สถานการณ์ระบาดในเมียนมาและมาเลเซีย มีแนวโน้มควบคุมการระบาดไม่ได้ ไทยจึงยังมีความเสี่ยง ดังนั้น ทุกคน ทุกภาคส่วน ต้องช่วยกันดูแล คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ป้องกัน แนวชายแดนให้ปลอดภัยสูงที่สุด เพื่อป้องกันการระบาดในประเทศ
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำหนุนเปิดท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนแนวคิดเปิดการท่องเที่ยว เปิดเศรษฐกิจและเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เราทราบดีว่าหลายชาติต้องการเข้ามา เพราะประเทศไทยปลอดภัย ไม่มีการระบาดของโรค แต่ถ้าเราดูแลเรื่องการเดินทางเข้ามาในประเทศไม่ดี อาจทำให้เกิดการระบาด แนวคิดที่จะเปิดประเทศก็คงต้องพักไป เพราะคงมีน้อยคนที่อยากจะเข้ามาเที่ยว สำหรับในประเทศไทยคงไม่สามารถปล่อยให้มีการแพร่ระบาดกว้างขวางได้ เพราะจะมีผลกระทบหลายด้าน ต่อเศรษฐกิจ วิธีการดำรงชีวิต และสังคม
พรุ่งนี้ สศช.-เอกชน นัดหารือยืดหนี้ให้ เอสเอ็มอี 12 ล้านบัญชี
การช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้(16 ต.ค.) ส.อ.ท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นัดหารือร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สถาบันการเงิน ภาคเอกชน ถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ด้านสภาพคล่องว่าส.อ.ท.ได้เสนอให้มีการยืดมาตรการพักชำระหนี้เอสเอ็มอีออกไปไม่เกิน 2 ปีตามความสามารถของเอสเอ็มอีรายนั้นๆ ซึ่งมาตรการความช่วยเหลือ อาจแตกต่างกันไป ซึ่งที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จะมีการแยกหนี้ของเอสเอ็มอีและรายย่อยที่มีประมาณ 12 ล้านบัญชี ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
-กลุ่มเขียว คือกลุ่มที่มีความสามารถจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามปกติ
-กลุ่มเหลือง คือกลุ่มที่มีความสามารถในการจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยแต่ไม่สามารถจ่ายเงินต้นได้
-กลุ่มแดง คือไม่สามารถจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยได้ในเวลานี้ โดยให้เอสเอ็มอีมาแสดงตนกับสถาบันการเงินเพื่อจัดกลุ่มความช่วยเหลือให้ชัดเจนต่อไป เบื้องต้น ส.อ.ท.มีความเป็นห่วงเอสเอ็มอีและรายย่อยที่อาจมีปัญหาด้านสภาพคล่องประมาณ 10 ล้านบัญชี
ส.อ.ท.เสนอว่ากลุ่มสีเขียวควรเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามปกติ คือทั้งต้นและดอกเบี้ย กลุ่มนี้ควรได้รับอินเทนซีฟ หรือแรงจูงใจ เช่น การลดดอกเบี้ยให้กลุ่มเหลืองที่สามารถจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยจะได้รับการผ่อนปรนอย่างไร หรือหากเป็นกลุ่มแดง ต้องมาดูว่าจะปรับโครงสร้างยังไง อัตราดอกเบี้ยควรอยู่ระดับใด เพราะไม่สามารถจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยแต่ยังมีความต้องการทำธุรกิจต่อมีศักยภาพที่จะเดินต่อไปได้
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า อีกประเด็นที่หารือ คือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลนของธปท.วงเงิน 500,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีเหลืออยู่กว่า 300,000 ล้านบาท จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร โดย ส.อ.ท.เสนอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาค้ำประกันเพิ่มเติมเป็นร้อยละ 50 จากปัจจุบันอยู่ที่ ร้อยละ 30 ได้หรือไม่ ซึ่ง บสย.เสนอขอคิดค่าธรรมเนียมตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ ส.อ.ท.มองว่าไม่ควรเพิ่มภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลต้องมีวงเงินช่วยบสย.ด้วย โดยควรดึงเงินจากซอฟต์โลนของธปท.มาช่วย วงเงินค้ำประกันที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 100,000-200,000 ล้านบาท ซึ่งซอฟต์โลนของ ธปท.ที่เหลืออยู่เพียงพอ
นายกฯ ต้อนรับและหารือ รมว.กต.จีน เดินทางเยือนไทย
การทำงานในทำเนียบรัฐบาลกลับมาเป็นปกติแล้วในช่วงเช้านี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจล ประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางกลับบ้านเพื่อเคลียร์พื้นที่ และให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการในทำเนียบกลับมาทำงานตามเดิม แต่กำหนดการสำคัญที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะพบหารือกับนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐ และ รมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เดิมกำหนดไว้เวลา 11.15 น.ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า เปลี่ยนเป็นที่กระทรวงกลาโหมแทน
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้ย้ายการประชุมคณะกรรมการปฎิรูปประเทศจากทำเนียบฯ ไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแทน
ส่วนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประชุมติดตามผลการดำเนินงานของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ที่อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ