สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเตือนความเชื่อว่า การมีภูมิคุ้มกันจะป้องกันการติดเชื้อได้ โดยระบุถึงการเสียชีวิตเพราะติดเชื้อโควิด-19ซ้ำ โดยวันนี้ข่าว CNN รายงานผู้ป่วยหญิงอายุ 89 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 ซ้ำ และเสียชีวิตรายแรกของโลก
เรื่องการแพร่ข่าวความเชื่อว่า ควรปล่อยให้คนติดเชื้อกันเยอะๆ จะได้มีภูมิคุ้มกันหมู่ คิดว่าจะเป็นหนทางหยุดโรคระบาดนี้ได้นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จากหลายประเทศที่เคยคิดจะทำเช่นนี้ แต่สุดท้ายระบาดกันหนักหนาสาหัส มีคนตายจำนวนมาก จนต้องเลิกล้มความตั้งใจ
นอกจากนี้ ความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันเรารู้กันว่า ผู้ติดเชื้อนั้นไม่ใช่ว่าติดแล้วจะมีภูมิคุ้มกันขึ้น หรืออยู่อย่างยาวนานและปริมาณมากพอที่จะป้องกันตัวเองได้ มีคนจำนวนมากที่ติดเชื้อแล้วภูมิไม่ขึ้น หรือภูมิขึ้นแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นอย่าคิดสั้นทำแบบแนวคิดข้างต้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นตัวเราแต่ละคนเอง หรือพวกกำหนดนโยบายรัฐก็ตามแต่...ชีวิตคนอื่นทั้งประเทศไม่ใช่ของเล่นที่จะคิดพิเรนทร์ทดลองเหมือนทำในหนูทดลอง
ที่น่ากังวลตอนนี้นั้นคือ ต้องระวังการกระทำการใดๆต่อคน โดยขาดความรอบคอบ คิดอยากทำอะไรก็ทำ ด้วยสำนึกที่ว่าตัวเองมีอำนาจบทบาทหน้าที่ จึงทำตามที่คิดที่วางแผนหรือที่อยากให้เกิดขึ้น โดยลืมไปว่า "คน"ทุกคนนั้นมีชีวิตจิตใจ มีสิทธิในร่างกายและจิตใจของตนเอง
ระบบคัดกรอง ตรวจ 2 ครั้งระหว่างกักตัว 14 วัน ถือเป็นมาตรฐานปฏิบัติ...โดยมีวิชาการรองรับหากคิดจะลดวันกักตัว คิดจะหาวิธีตรวจต่างๆ มาทดแทน ก็ต้องทำการศึกษาวิจัย ไม่ใช่คิดจะทำ คิดจะปรับเปลี่ยน ก็ทำทันทีในกลุ่มผู้ถูกกักตัว "การศึกษาวิจัยในคน" ต้องทำตามมาตรฐานสากล เขียนโครงการวิจัยที่มีรายละเอียดชัดเจน ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มีการควบคุมติดตามกำกับ เฉกเช่นที่เราเห็นในเรื่องยาและวัคซีนจู่ๆ หากทำโดยอาศัยอำนาจ จะจากกฎหมาย หรือจากบทบาทหน้าที่ที่มีก็ตาม โดยไม่ได้ผ่านมาตรฐานการศึกษาวิจัยในคนที่ระบุไว้ข้างต้น ข้อมูลที่ได้มาก็ไม่มีความหมาย ไม่น่าเชื่อถือ เพราะสุ่มเสี่ยงต่ออคติ และขัดต่อหลักจริยธรรมทางการแพทย์ จริยธรรมการวิจัย และหลักสิทธิมนุษยชน
ความสัมพันธ์ของผู้ควบคุมสถานที่กักตัว กับผู้ถูกกักตัว จัดเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่ทำให้ผู้กักตัวสูญเสียอำนาจการตัดสินใจ ซักถาม ต่อรอง หรืออื่นๆ ทำให้กลายเป็นการกระทำต่อกลุ่มผู้เปราะบาง (vulnerable group) หากมีคนดำเนินการแยงจมูก 5 วัน 3-5-7-9-11 และเจาะเลือด 2 ครั้ง วันที่ 3 และ 11 เพื่อเก็บข้อมูลมาสนับสนุนลดวันกักตัวนั้น ถือเป็นการศึกษาวิจัย ที่ต้องผ่านขั้นตอนมาตรฐาน ไม่ใช่คิดจะทำก็มาทำได้ทันที ความเสี่ยงจากการกระทำดังกล่าวนั้นมีมากขึ้น เพราะทำให้ผู้กักตัวเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ รู้สึกไม่สะดวกสบาย หรืออาจเกิดผลข้างเคียงจากการทำ เช่น บาดแผล ติดเชื้อ หรืออื่นๆ ในขณะที่ประโยชน์ที่เกิดต่อผู้ถูกกระทำก็อาจมีน้อยมากหรือไม่มี...ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ขัดต่อหลัก Beneficence และ Non-maleficence
นอกจากนี้ กระบวนการขอความยินยอมในการทำนั้นสำคัญยิ่ง ผู้ถูกกระทำต้องได้รับทราบรายละเอียดทั้งหมด เข้าใจอย่างถ่องแท้ มีเวลาคิดไตร่ตรองว่าจะยอมเสี่ยงหรือยอมถูกกระทำหรือไม่ และมีสิทธิเต็มที่ที่จะปกป้องร่างกายและจิตใจของตนเอง สามารถปฏิเสธได้ สามารถเลือกที่จะทำแบบมาตรฐานเดิมได้ และกระบวนการขอความยินยอมจำเป็นต้องไม่ให้มีผลของความสัมพันธ์เชิงอำนาจมาลดทอนหรือบีบการตัดสินใจของผู้ถูกกระทำ มิฉะนั้น ก็อาจเกิดผลกระทบมากมายตามมา ทั้งการขัดต่อหลักจริยธรรมการแพทย์ จริยธรรมการวิจัย และละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นมาในอดีต ทั้งในการศึกษาโรคซิฟิลิส Tuskegee trial รวมถึงการศึกษาในเชลยศึกสมัยสงครามโลก Nuremberg trial
ผู้ถูกกักตัวต้องไม่ใช่เหยื่อ แต่ควรเป็นผู้ที่ควรได้รับการดูแลอย่างดี และให้ความสำคัญและควรได้รับการขอบคุณอย่างมาก เพราะถือว่าการกักตัวเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเค้า และต่อทุกคนในสังคม
ประเด็นต่างๆ ข้างต้น ไม่ว่าจะประเทศใด ก็ควรพิจารณา ไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นเด็ดขาดครับ