พนักงานขับรถไฟ ที่ชนรถบัส ให้ปากคำ ด้านจ.ฉะเชิงเทรา ติดไฟแจ้งเตือนจุดเกิดเหตุแล้ว
พนักงานขับรถไฟที่ชนกับรถบัสเดินทางไปทอดกฐิน เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา นายวีระวัฒน์ วรวงศ์ นายวันชนะ ฟักถาวร พนักงานขับรถไฟ ขบวนรถสินค้าที่ 852 แหลมฉบัง -ไอซีดี ลาดกระบัง ได้เข้าพบกับ ร.ต.ท.ศุภวัฒน์ มนัสชัย รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อให้ปากคำ โดยนายวีระวัฒน์ ให้การว่า ก่อนจะถึงจุดตัดประมาณ 100 เมตร ได้เห็นรถบัสกำลังจะข้ามตัดราง จึงได้เปิดสัญญาณไฟพร้อมเปิดหวูดเตือนให้ทราบแล้ว แต่รถบัสไม่หยุดยังได้วิ่งข้ามมา จึงตัดสินใจเบรกฉุกเฉินแต่ก็ไม่ทันอยู่ดี เนื่องจากปกติแล้วการที่รถไฟขนสินค้าจะเบรกนั้นต้องใช้ระยะทางอย่างน้อย 700 เมตร หลังจากสอบปากคำเสร็จพนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหา
ญาติผู้เสียชีวิต นิมนต์พระสงฆ์ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตกลับบ้านตามความเชื่อถือด้วยความโศกเศร้าเสียใจที่ต้องมาเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้บริเวณสถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น หมู่ 7 ต.บางเตย อ.เมือง ฉะเชิงเทรา
ขณะเดียวกัน นายประเทือง อยู่เกษม นายอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา สั่งการให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 จัดทำป้ายหยุดและไฟแจ้งเตือนผู้ที่ใช้รถใช้ถนน ไปติดตั้งในทางข้ามทางรถไฟที่เกิดเหตุแล้วเพื่อเตือนอันตราย ต้องระมัดระวังก่อนจะข้ามตัดทางรถไฟ
ช่วง 5 ปี เกิดอุบัติเหตุจุดตัดทางรถไฟกว่า 300 ครั้ง เฉลี่ยปีละ 77 ครั้ง
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลออกพรรษาประมาณเดือนต.ค.ถึงเดือนพ.ย.จะเป็นช่วงของการเดินทางทำบุญทอดกฐิน พบว่า 2 เดือนดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 5 ปี จำนวน 3,448 ราย สูงกว่าช่วงเข้าพรรษา (ก.ค.-ก.ย.) ร้อยละ 13.48 นอกจากนี้ จากสถิติของกระทรวงคมนาคมในช่วง 5 ปี พบอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟ จำนวน 383 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 138 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 371 คน โดยเฉลี่ยเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟประมาณ 77 ครั้งต่อปี ผู้เสียชีวิต 28 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 74 คน
การเดินทางให้ปลอดภัย ควรเลือกรถเช่าที่จดทะเบียน มีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หลีกเลี่ยงรถโดยสาร 2 ชั้นในเส้นทางโค้งและมีความลาดชัน เพราะจากข้อมูลศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย พบว่ารถโดยสารสองชั้นมีโอกาสพลิกคว่ำได้ง่ายกว่ารถชั้นเดียวถึง 8 เท่า เลือกผู้ประกอบการที่มีสมุดประจำรถ มีการตรวจสภาพความพร้อมของรถและพนักงานขับรถประจำ จัดทำประกันภัยให้ครอบคลุมผู้โดยสารทั้งหมด เลือกคนขับ โดยการตรวจสอบชื่อ-สกุล เลขที่ใบอนุญาตขับรถ ไม่เสพสารเสพติดและแอลกอฮอล์ ชำนาญเส้นทาง มีใบอนุญาตขับรถตรงตามประเภทของรถ เลือกรถให้เหมาะสมกับการเดินทาง โดยเน้นให้ผู้เช่ารถ เลือกรถที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยครบถ้วน เข็มขัดนิรภัยสามารถใช้งานได้ทุกที่นั่ง มีค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง และทางออกฉุกเฉินพร้อมใช้งาน
รีบมอบตัว! ตร.ออกหมายจับ 2 วัยรุ่นแทงเด็กเทคนิคดอนเมืองเสียชีวิต
จากกรณีที่มีเหตุวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันหน้าสถานบันเทิง ทำให้ นายธนาทิพย์ เอี่ยมจำรูญ หรือ ฟลุ๊ค อายุ 19 ปี นักเรียนเทคนิคดอนเมืองปวช.ปี 3 ช่างยนต์ และ นายธีรภัทร พิลาทา อายุ 19 ปี ถูกแทงเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค. ในพื้นที่ สภ.ปากคลองรังสิต พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายจับผู้ก่อเหตุไปแล้ว 2 คน คือ นายนรินทร์ หรือฟิว รอดเทศ อายุ 18 ปี และ นายอรรถกร หรือขุน แย้มนิยม อายุ 18 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดปทุมธานีเลขที่ 182-183/2563 ลงวันที่ 12 ต.ค.2563 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ, ร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังผู้ปกครองของวัยรุ่นทั้งสองคนแล้วว่าให้รีบพาเข้ามอบตัว ควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อย่าหลบหนี หรือขัดขืนการจับกุมเป็นอันขาด
จเรตำรวจ ลงพื้นที่ ขอนแก่น-เลย สอบ ตร.ถูกอมเงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19
พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) พร้อมคณะจเรตำรวจ ลงพื้นที่ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น และ จ.เลย เพื่อตรวจสอบและรับฟังคำชี้แจงในการจัดสรรงบประมาณเงินค่าตอบแทน ภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 งวดแรก ปีงบประมาณ 2563 ของตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และ จังหวัดเลย โดยหากพบการทุจริตให้ดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด ตามที่ปรากฏทางสื่อว่ามีการทุจริตเรื่องเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 ของตำรวจ
พล.ต.อ.วิสนุ กล่าวว่า จะลงพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 คือ บก.ภ.จว.ขอนแก่น และ บก.ภ.จว.เลย โดยจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแต่ละโรงพักในสังกัดนำข้อมูลกำลังพลที่ตั้งด่าน จำนวนจุดและเวลาที่เข้าเวรตั้งด่าน การจัดสรรงบประมาณมาชี้แจงให้รับทราบ และในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปตรวจสอบในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และภาค 5 ต่อไป
มาตรการกระตุ้นศก.ปลายปี ทำให้ไตรมาส 4 ติดลบน้อยลง อาจเป็นบวกปีหน้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากมาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจและกำลังซื้อภาคประชาชนในช่วงเวลาที่เหลือปีนี้ ถือเป็นช่วงสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก คาดว่า จะมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการอุดหนุนทั้งหมดจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน รวมถึงกว่า 200,000-300,000 ล้านบาท โดยกระตุ้นเศรษฐกิจบวกร้อยละ 2-3 และจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ติดลบน้อยลง จากเดิมคาดว่าหดตัวถึงร้อยละ 6-7 เหลือเพียงติดลบร้อยละ 4-5 เท่านั้น
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะติดลบเพียงร้อยละ 7-9 แต่หากสามารถหยุดการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ รวมถึงมาตรการภาครัฐออกมากระตุ้นภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวได้ต่อเนื่องโดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีแรกส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3-4 แต่ทั้งนี้จะต้องติดตามดูปัจจัยต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิดกันต่อไป
คลัง นัดหารือ 3 กรม ปรับเป้าหมายการจัดเก็บภาษีลดลง
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมนัดหารือกับ 3 กรมจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร เพื่อปรับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ใหม่ หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ คาดว่า จะมีการลดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ภาษีทั้ง 3 กรมลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 2.67 ล้านล้านบาท
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ได้มอบนโยบายในการหาช่องทางการเพิ่มรายได้ เพราะในปีงบประมาณ 2564 เป็นความท้าทายที่กรมจะเก็บรายได้ให้เข้าเป้าหมายที่ 5.3 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากเอกสารงบประมาณที่มีประมาณการรายได้อยู่ที่ 6.3 แสนล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ แต่มั่นใจว่า จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายใหม่ พร้อมยืนยันไม่หนักใจ
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากร ตั้งเป้าหมายการเก็บภาษีปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 1.04 แสนล้านบาท ส่วนจะเก็บได้จริงเท่าไรยังไม่แน่ใจ แต่จะทำให้ดีสุด หลังจากนี้กรมศุลกากร จะหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อปรับเป้าหมายการเก็บภาษีให้สอดคล้องกับสถานการณ์