มท.กำชับผู้ว่าฯ 10 จังหวัดติดเมียนมา รีบแจ้งด่วนหากเจอผู้ติดเชื้อ
ตามที่เมียนมาตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นพนักงานขับรถส่งของชาวเมียนมา 3 คน เดินทางเข้ามาส่งของในประเทศไทย ผ่านด่านชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และกักตัวผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านเมียนมา 10 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี แม่ฮ่องสอน ระนอง และราชบุรี เพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวัง และป้องกัน รวมทั้งให้รายงานสถานการณ์และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบจากการเดินทางผ่านแดนด้านเมียนมาหรือผู้ที่สัมผัสกับผู้ที่เดินทางผ่านแดนด้านเมียนมาและตรวจพบการติดเชื้อให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยเร่งด่วน
กรมควบคุมโรค เร่งคุมให้เร็ว-เฝ้าระวังเชิงรุกในพื้นที่อ.แม่สอด ตาก
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์เหตุการณ์การระบาดที่อาจเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบว่าเหตุการณ์คนขับรถส่งของชาวเมียนมา ถือว่าอยู่ในรูปแบบที่ 1 คือ พบผู้ติดเชื้อ สามารถตรวจจับและควบคุมได้ สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ การเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยได้ส่งทีมสอบสวนโรคจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าไปสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงจัดรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 3 คัน ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างผู้สัมผัสในฝั่งไทยที่โกดังอาลี และโกดังสิงห์รุ่งเรือง ที่อ.แม่สอด จ.ตาก ส่วนอีกคันพื้นที่จะเป็นผู้เลือกจุดให้บริการ สนับสนุนชุดตรวจน้ำยา PCR จำนวน 1,000 ชุด และชุดตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันหรือ Rapid Test จำนวน 2,000 ชุด เพื่อให้มีวัสดุอุปกรณ์ใช้อย่างเพียงพอ ควบคุมสถานการณ์ให้เร็วที่สุด
กรณีนี้คล้ายกับกรณีทหารอียิปต์ที่ จ.ระยอง ปัจจัยที่ทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว คือ การตรวจเชิงรุก และความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น หากพบการเข้าประเทศผิดกฎหมายขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่
CR:รัฐบาลไทย
ผบก.ตม.3 สั่งสอบข้อเท็จจริง ข่าวจนท.รัฐ ขอค่าหัว 30,000 บาท พาแรงงานเมียนมาหลบหนีเข้าไทย
พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กำชับทุกกองบัญชาการที่มีเขตรอยต่อระหว่างพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านประสานการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ผบ.ตร.ได้กำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเรียกรับผลประโยชน์ในทางมิชอบ หากพบจะดำเนินการในทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้มีข่าวในโซเชียลมีเดีย แฉเจ้าหน้าที่รัฐและนายทุน ขอค่าหัวรายละ 30,000 บาท พาแรงงานเมียนมาหลบหนีเข้าไทยในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3 สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกหน่วย หน.ตม.จังหวัดที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานหากพบการกระทำความผิดให้จับกุม ขยายผลถึงเครือข่าย ขบวนการ ผู้สนับสนุนการลักลอบพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย และความผิดที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เด็ดขาด
จ.บุรีรัมย์ พร้อมเป็น Gateway สถานที่กักตัวของนักท่องเที่ยว
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องการนำนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าประเทศไทย โดยจะมีการพิจารณาจังหวัดที่มีความพร้อมในการรับเป็นสถานที่กักตัว (Quarantine) เบื้องต้น 1 จังหวัด เพื่อเป็น gaetway สำหรับกักตัว เป็นเวลา 14 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่าจะไม่เสี่ยงทำให้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทย
รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข ขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าไม่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมที่จะเป็นgatewayในการเป็นสถานที่กักตัว เบื้องต้น กระทรวงสาธารณสุข ได้สอบถามความเห็นทุกจังหวัดแล้ว เพื่อสอบถามประชาชนในพื้นที่ว่ามีความเข้าใจและยอมรับหรือไม่ คาดว่าในสัปดาห์จะทราบผลการพิจารณา
สำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะเปิดรับจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) และต่างชาติที่มีครอบครัวอยู่ในประเทศไทย โดยมาตรการคัดกรองก่อนเดินทางเข้ามาจะมีการตรวจหาเชื้อแบบใหม่ คือการเจาะเลือด ซึ่งจะมีผลยืนยัน 100% มีความแม่นยำกว่าการตรวจหาเชื้อจากโพรงจมูก และเมื่อเดินทางถึงไทยจะตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง และมีการกักตัวในสถานที่กำหนดไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งเมื่อครบ 14 วัน และไม่พบเชื้อจะผ่านการรับรอง และสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ได้ของประเทศไทยได้
นายณัฐภาณุ นพคุณ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึง การนำคนไทยและชาวต่างชาติเข้าประเทศไทยว่า กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน และเป็นไปตามข้อกำหนดของพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยคำนึงถึงมาตรการด้านสาธารณสุขของไทยและจำนวนคนเดินทางเข้าประเทศให้สอดคล้องกับจำนวนสถานกักกันของรัฐที่รองรับได้
ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.มีมาตรการผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตรวจลงตราให้กลุ่มต่างๆ ได้แก่ 1.กลุ่ม Long Stay 2.กลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่ถือบัตรเอเปก (APEC Business Travel Card) จาก 10 เขตเศรษฐกิจที่มีการติดเชื้อโควิด-19 ในอัตราต่ำ 3.กลุ่มผู้ที่มาติดต่อธุรกิจระยะสั้นและลงทุน 4.กลุ่มผู้ที่มาพำนักระยะสั้น-ยาว ที่มีหลักทรัพย์แสดงไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท และ 5.กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ขอรับการตรวจลงตราประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa- STV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย