ผลกระทบเศรษฐกิจไทยหลังเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ในการสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2563 หัวข้อเรื่อง “อยู่รอด อยู่เป็น ผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน” ของสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564 นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จะอยู่กับเศรษฐกิจไทยไปอีก 2 ปี และจะมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนไทยไปอีกระยะ โดยฐานะของคนไทยจะไม่ดีเท่าเดิม สำหรับปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวติดลบร้อยละ7.5-9 ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2540 และเป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในลักษณะวีเชฟ โดยจะใช้เวลาในการฟื้นตัวช้าๆ มีผลกระทบหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว คาดว่าปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ2-4 มีปัจจัยเสี่ยงคือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากมีมูลค่าสูงถึงร้อยละ 12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หากยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ต่ำมากหรือ 1,200 คนต่อเดือนเหมือนในช่วงนี้ มีความเป็นไปได้ว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่เติบโตเลยก็เป็นได้
สำหรับภาคการส่งออก มองว่า เป็นภาคที่เริ่มฟื้นตัวเร็วกว่าภาคอื่น โดยเฉพาะจะฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งหลังของปีหน้า แต่ยังมีปัจจัยสงครามการค้า เพราะไม่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือ “โจ ไบเดน” จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ยังมีปัญหากับจีนต่อเนื่อง ซึ่งอาจกระทบการส่งออกของไทย
ส่วนการใช้จ่ายในช่วงต่อไปจะยังชะลอตัวอยู่ เพราะแม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ไม่ได้กลับไปทำงานเต็มศักยภาพอาจจะอยู่ที่ร้อยละ 85 เพราะไม่มีภาคการท่องเที่ยวและที่น่าเป็นห่วงคือ กำลังซื้ออาจจะลดลงอีก เพราะในอนาคตมีความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการบางส่วนจะปิดกิจการเพิ่มอีก ซึ่งจะกระทบกับภาคแรงงานให้ตกงานเพิ่มขึ้น
สัดส่วนที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ คนที่มีงานทำแต่ไม่ได้ทำงานและคนที่ทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการครองชีพ ซึ่งหากรวมกันทั้ง 3 กลุ่มในขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคน นอกจากนั้น ผลจากรายได้ที่ลดลงของแรงงานนอกภาคเกษตรยังกระทบต่อรายได้ของแรงงานในภาคการเกษตร เพราะร้อยละ65 ของรายได้ของเกษตรกรมาจากเงินที่ลูกหลานนอกภาคเกษตรส่งมาให้ ดังนั้น ภาคแรงงานน่าเป็นห่วงมาก รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องวางนโยบายประเทศในลักษณะการจ้างงานมากขึ้น เช่น ใช้หนทางงานแลกเงินในลักษณะให้สวัสดิการ
สำหรับทิศทางนโยบายดอกเบี้ย มองว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะต่ำต่อเนื่องไปอีกระยะยาว และเชื่อว่า หากมีกรณีเลวร้ายเช่นการระบาดรอบ 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีพื้นที่ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก นโยบายการเงินจึงยังไม่ตีบตันทีเดียว
ขณะเดียวกัน ธปท.ต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้กลับมาแข็งค่าจนกระทบการส่งออกและเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งปรับเงื่อนไขสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน หรือซอฟต์โลน โดยอาจต้องรับภาระความเสียหายที่มากขึ้นเพื่อจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ
ส่วนความไม่แน่นอนทางการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า ไทยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทางการเมืองรุนแรงมากมาแล้วหลายครั้ง หากพิจารณาให้ดี เศรษฐกิจไทยเหมือนกับ ‘กระทะเทฟล่อน’ที่สามารถไหลลื่นไปกับการเมืองได้โดยไม่มีผลกระทบที่รุนแรง
โดยนักเศรษฐศาสตร์ที่เข้าร่วมเวทีเสวนาในวันนี้ ประกอบด้วย น.ส.กิริฏา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เกียรติ นาคินภัทร นายชนินทร์ มโนภินิเวส นักเศรษฐศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน ธนาคารโลก และนายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย