กอนช.ปรับแผนบริหารน้ำท้ายอ่างเก็บน้ำขุนด่านฯ- อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำว่าแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 90 หรือเกินเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำสูงสุด โดยเฉพาะ 2 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก และอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จังหวัดระยอง กรมชลประทาน มีแผนบริหารจัดการน้ำทั้ง 2 เขื่อนไม่ให้ส่งผลกระทบทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ท้ายอ่างเก็บน้ำรวมทั้งเตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำเป็นแก้มลิงในการหน่วงน้ำและรองรับน้ำหลาก รวมถึงการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ บริเวณ อ.เมือง จ.เพชรบุรี และ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวที่มักประสบปัญหาหากมีฝนตกปริมาณมากต่อเนื่องหลายวันเนื่องจาก ศักยภาพลำน้ำสามารถรับน้ำได้เพียง 150 – 225 ลบ.ม./วินาที
จากการติดตามประเมินสถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ (One Map) ของหน่วยงานภายใต้ กอนช.ช่วงวันที่ 7– 12 ต.ค.พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังและดินถล่มในพื้นที่ 27 จังหวัด แบ่งเป็น
-ภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ เลย ขอนแก่น และนครราชสีมา ภาคตะวันออก 5 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี นครนายก สระแก้ว ชลบุรี และระยอง
-ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
-ภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง และสตูล และเฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำป่าสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ลำตะคอง ลำน้ำมูล และลำปลายมาศ จังหวัดนครราชสีมา
จากอิทธิพลของพายุและร่องความกดอากาศต่ำรวมถึงมาตรการเร่งเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทำให้สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่าร้อยละ 30 มีทิศทางที่ดีขึ้น ล่าสุดคงเหลืออ่างเก็บน้ำน้อยอยู่ 10 แห่ง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ภาคตะวันตก 2 แห่ง ภาคตะวันออก 2 แห่ง และภาคกลาง 1 แห่ง ลดลงไปถึง 21 แห่งเมื่อเปรียบเทียบเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2563 ที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่าร้อยละ 30 อยู่ถึง 31 แห่ง
นายกฯ ยืนยัน ยังไม่ได้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นการจัดทริปเข้ามา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึง การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจในรูปแบบพิเศษ หรือ STV ที่มีโพลระบุว่ายังมีประชาชนบางส่วนยังไม่เห็นด้วยว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประชุมหารือและหาแผนการรองรับทั้งต้นทาง กลางทางและปลายทาง ต้องคำนึงว่าขณะนี้สิ่งที่สำคัญคือผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศ จึงต้องปรึกษากันว่าจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้หรือไม่ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นเกาะ อย่างภูเก็ต คงไม่สามารถเปิดทั้งเกาะได้แต่หากเป็นหาดหรือเป็นที่เฉพาะอาจจะสามารถเปิดรับและจำกัดพื้นที่ได้ หรือที่เรียกว่า Area quarantines และหามาตรการในการติดตามนักท่องเที่ยวให้ได้ เช่นที่ภูเก็ตที่จะมีมาตรการช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้ แต่มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าไม่อยากให้ดำเนินการในขณะนี้ เพราะกำลังจะมีเทศกาลกินเจ จึงขอเลื่อนไปก่อน แต่หลังจากวันที่ 25 ต.ค.เป็นต้นไป ก็ให้หารือกัน ซึ่งรัฐจะเตรียมความพร้อมและวางมาตรการต่างๆ อีกครั้ง
นายกฯ ยืนยันว่า ยังไม่ได้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นการจัดทริปเข้ามา ไม่ได้มีการปล่อยให้เข้ามาตามเขตชายแดน รวมถึงไม่ได้มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไปเข้าไปเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มคนที่จัดทริปมาท่องเที่ยวมีการควบคุมมาตั้งแต่ต้นทาง มีการรับรองจากประเทศต้นทางและมาอยู่ในพื้นที่จำกัดคือมาพื้นที่หาดไหนก็อยู่ในหาดนั้น
รองเลขาฯป.ป.ช.พิจารณาสำนวนเดิม คดี บอส อยู่วิทยา เพื่อหาพยานหลักฐานใหม่
นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวถึง กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ส่งรายงานสำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” นายวรยุทธ อยู่วิทยา มาที่ป.ป.ช.ว่า รับทราบเรื่องแล้ว ซึ่งจะต้องไปดูสำนวนเดิมที่ ป.ป.ช.เคยวินิจฉัยชี้มูลวินัยเจ้าหน้าที่ตำรวจบางรายไปแล้วนั้น วันนี้ก็จะดูทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นว่าอะไรที่ ป.ป.ช.วินิจฉัยชี้มูลแล้วมีพยานหลักฐานใหม่ที่ ป.ป.ช.ยังไม่เคยวินิจฉัย ซึ่งตอนที่ ป.ป.ช.ส่งสำนวนไปนั้น อัยการสูงสุดยังสั่งฟ้องอยู่ แต่วันนี้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ก็จะต้องดูขั้นตอนการสั่งไม่ฟ้องถูกต้องไหมและยังมีกระบวนการที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯเสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะต้องดูไปพร้อมกัน โดยต้องดูตั้งแต่ต้นคดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่มีพยานหลักฐานใหม่ก็ถือว่าสิ้นสุด ส่วนใครจะผิดหรือไม่ผิดยังชี้แจงไม่ได้ และจะรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่นอกจากตำรวจที่ถูกชี้มูลวินัยไปแล้วจะมีคนอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริงก่อน เพราะมีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป วันนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ถูกกล่าวหา
ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ ปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงฯ 2 คัน 50 ล้าน
ส่วนอีกคดีที่สำคัญที่ป.ป.ช.แถลงในวันนี้ คือ กรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด มาตรา 79 พร้อมส่งสำนวนและพยานหลักฐานไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จากกรณีที่นายนิพนธ์ ละเว้นไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ 2 คัน จำนวน 50 ล้านบาท ให้แก่บริษัทคู่สัญญา
หลังจากชี้มูลความผิดแล้วจะทำให้นายนิพนธ์ ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ นายนิวัติไชย ยังไม่ยืนยัน เนื่องจาก กฎหมาย ป.ป.ช. ให้อำนาจ ป.ป.ช.สามารถสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติการปฏิบัติหน้าที่ก่อนได้ แต่ตำแหน่งที่นายนิพนธ์ ถูกกล่าวหา เป็นตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ที่นายนิพนธ์ พ้นการปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว จึงจะต้องรอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิจารณา เมื่อประทับรับฟ้องแล้วว่าจะให้นายนิพนธ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือไม่
ผลวิจัยญี่ปุ่น พบว่า เชื้อโควิด-19 อยู่บนผิวหนังได้ 9 ชั่วโมง ทุกวัย มีความเสี่ยง
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศญี่ปุ่น ผลการค้นพบที่น่าสนใจ นักวิจัยมหาวิทยาลัยการแพทย์จังหวัดเกียวโต ค้นพบว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 อาศัยอยู่บนผิวของคนได้ 9 ชั่วโมง ซึ่งนานกว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 5 เท่า ส่วนนักวิจัยมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ยืนยันว่า อายุไม่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19
ส่วนสถานการณ์ต่างๆ - ผู้ติดเชื้อสะสมในญี่ปุ่น (สถานะวันที่ 6 ตุลาคม 2563) 86,637 คน (เพิ่มขึ้น 502 คน)
- จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวันมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงโตเกียว 177 คน จังหวัดคานากาวะ 65 คน จังหวัดโอซากา 59 คน จังหวัดชิบะ 41 คน จังหวัดโอกินาวา 22 คน
- ผู้เสียชีวิตสะสม 1,611 คน (เพิ่มขึ้น 7 คน)
- ผู้ติดเชื้ออาการรุนแรง 140 คน
- ผู้ที่รักษาหายสะสม 79,071 คน (เพิ่มขึ้น 462 คน)
- ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตกลงที่จะผ่อนปรนให้นักธุรกิจสามารถเดินทางระหว่างกันได้ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2563
โควิด-19 หนุนมหาเศรษฐีโลกรวยกว่าเดิม!
ยูบีเอส และไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (UBS and PwC) รายงานว่า ความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 เมื่อราคาหุ้นเทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพปรับเพิ่มขึ้น ช่วยให้ความมั่งคั่งของคนรวยที่สุดในโลกมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยในรายที่สำรวจทรัพย์สินของมหาเศรษฐีมากกว่า 2,000 คนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 98 ของบรรดามหาเศรษฐีทั้งโลก พบว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ใน 4 ในช่วงต้นเดือนของการระบาดใหญ่ถึง 10 ล้าน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่เคยทำไว้ 8 ล้าน 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯในตอนท้ายของปี 2562
ในช่วงระหว่างวันที่ 7 เมษายนถึง 31 กรกฎาคมในปีนี้ บรรดามหาเศรษฐีต่างมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในอัตราเลข 2 หลัก โดยเฉพาะกลุ่มมหาเศรษฐีในภาคประกันสุขภาพที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50.3 อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มมหาเศรษฐีโลกที่มีจำนวนมากกว่า 2,000 คน มีอยู่ประมาณ 200 คนที่ประกาศว่าจะบริจาคเงินรวม 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการจัดการกับโรคโควิด-19