สหรัฐฯ เดินหน้านโยบายอินโด-แปซิฟิก ต้านจีน แต่ญี่ปุ่น ยืนยันทุกประเทศต้องช่วยกัน
การพบกันครั้งแรกสานสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ สึกะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว ทั้งสองคนต่างสวมหน้ากากอนามัยและได้ทักทายกันด้วยการชนกำปั้นก่อนนั่งหารือกันโดยรักษาระยะห่างทางสังคม
นายสึกะ กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกว่าคือพื้นฐานของสันติภาพและเสถียรภาพด้านความมั่นคงในภูมิภาคและวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 พร้อมทั้งย้ำว่าทุกฝ่ายยิ่งต้องเพิ่มความร่วมมือกัน โดยไม่มีการกล่าวถึงประเทศหนึ่งประเทศใดอย่างเจาะจง
ก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ นายปอมเปโอ หารือแบบพหุภาคี 4 ฝ่าย ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากอีก 3 ประเทศ คือ นายโทชิมิตสึ โมเตงิ จากญี่ปุ่น นางมาริส เพย์น จากออสเตรเลีย และนายสุพรหมณยัม ชัยศังกร จากอินเดีย ซึ่งนายปอมเปโอ กล่าวว่า จีนยังคงดำเนินนโยบายเป็นภัยและมุ่งร้ายต่ออินโด-แปซิฟิก และเรียกร้องพันธมิตรทั้งสามประเทศร่วมกันยืนหยัดต่อสู้กับอิทธิพลของรัฐบาลจีน
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยังไม่มีปฏิกิริยามากนักต่อการเคลื่อนไหวในญี่ปุ่นของนายปอมเปโอ แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกล่าวว่า ประเทศร่วมภูมิภาคเดียวกันไม่ควรแบ่งพรรคแบ่งพวก
CR:Kyodo News
ตำรวจอินโดฯ ใช้แก๊สน้ำตาสลายม็อบแรงงาน-นักศึกษา
การชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ของสหภาพแรงงานอินโดนีเซีย เริ่มต้นเมื่อวานนี้ ตัวแทนสหภาพแรงงานคาดว่าจะมีแรงงานเข้าร่วมการชุมนุมราว 2,000,000 คนในการประท้วงทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน การชุมนุมเริ่มขึ้นที่กรุงจาการ์ตา รวมทั้งอีกหลายเมืองบนเกาะสุมาตรา และสุลาเวสี
ตำรวจอินโดนีเซีย ใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูง เพื่อสลายการชุมนุมของกลุ่มแรงงานและนักศึกษาที่ออกมาประท้วงรัฐบาล ซึ่งได้ออกกฏหมายใหม่ที่พวกเขามองว่าเอื้อต่อนายทุน แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นกฎหมายที่จะดึงดูดการลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ ตำรวจยังได้จับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง
รัฐสภาอินโดนีเซีย อนุมัติร่างกฎหมายสร้างงานฉบับใหม่ของรัฐบาล โดยมีการปรับปรุงกฎหมายมากกว่า 70 มาตรา เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ แรงงานอินโดนีเซีย วิตกว่ากฎหมายฉบับใหม่จะกระทบต่อการจ้างงาน เนื่องจาก จะทำให้แรงงานไม่มีเงินบำนาญและเงินประกัน หากมีการทำสัญญาเป็นพนักงานตลอดชีพกับบริษัท นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดให้มีชั่วโมงการทำงานที่นานขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนวันหยุดที่ได้รับค่าจ้างด้วย อย่างไรก็ดี คณะกรรมการประสานการลงทุนแห่งอินโดนีเซีย (IICB) ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้แรงงานมีสวัสดิการที่ดีขึ้น เนื่องจากจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น
แพทย์ทำเนียบขาวยืนยัน"ทรัมป์"ไม่มีอาการป่วยโควิด-19
นพ.ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำทำเนียบขาว แถลงว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ มีสุขภาพดีขึ้นอย่างมาก และไม่มีอาการป่วยจากโรคโควิด-19 ได้พักผ่อนเต็มที่ในคืนแรกที่ทำเนียบขาว โดยไม่มีอาการใดๆ ขณะที่ผลการตรวจร่างกายพบว่าปกติ และมีระดับออกซิเจนอยู่ที่ร้อยละ 95-97
คณะแพทย์ เปิดเผยเรื่องการใช้ยาหลายขนาน ไม่ว่าจะเป็นสูตรยา ค็อกเทล ของรีเจเนรอน ร่วมกับการให้รับประทานวิตามินเสริม ให้ยาเรมเดซิเวียร์ และยาปฏิชีวนะเดกซาเมธาโซน ซึ่งเป็นยาที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เน้นว่า ให้ใช้เฉพาะกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการหนัก
4 ชั่วโมง ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะเดินทางกลับถึงทำเนียบขาว นพ.คอนลีย์ ยอมรับว่าผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่ถือว่าหายดี และคณะแพทย์ จะทำการรักษาต่อเนื่องอีกประมาณ 1 สัปดาห์
ผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ตัวยารักษา ผู้นำสหรัฐฯ อาจเป็นโรคโควิด-19 นิวมอเนีย
ขณะที่ นพ.เจ.แรนเดล เคอร์ติส (Dr. J. Randall Curtis) ประจำศูนย์การแพทย์ฮาร์เบอร์วิว (Harborview Medical Center) ในรัฐวอชิงตัน ให้ข้อมูลกับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของรัฐวอชิงตัน kiro7 ว่า ยังไม่ได้เห็นฟิล์มเอ็กซเรย์ทรวงอกของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่โดยทั่วไปแล้วสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ หากว่าต้องการออกซิเจนเนื่องจากเชื้อโควิด-19 ได้เข้ามาอยู่ในปอดและทำให้เกิดโรคนิวมอเนีย (โรคปอดอักเสบ) จากยารักษาโรคที่ทำเนียบขาวประกาศออกมา ชี้ได้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังมีปัญหาในการหายใจ
ทำเนียบขาวปรับวิธีทำงาน หลังเป็นศูนย์กลางโควิด-19
รายงาน ระบุว่ามีการปรับแผนการปฏิบัติหน้าที่ครั้งใหญ่ในทำเนียบขาว เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานบางตาอยู่แล้วตั้งแต่ช่วงสหรัฐฯเผชิญกับวิกฤตโรคโควิด-19 ก็ได้ลดจำนวนลงอีก และเน้นการทำงานจากที่บ้านมากขึ้น หลังจากผู้นำสหรัฐฯและนางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง มีผลตรวจคัดกรองเป็นบวก เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาว ยังสั่งชุดป้องกันส่วนบุคคล (พีพีอี ) ถุงมือยาง แว่นตาป้องกัน หน้ากากอนามัยแบบเอ็น95 หรือที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น เพื่อสำรองให้เพียงพอกับบุคลากรทางการแพทย์ หน่วยรักษาความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลที่พักอาศัยของผู้นำสหรัฐฯ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ต้องทำงานในระยะประชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนี้ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ เดินทางมาถึงไม่นาน เจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันลงพื้นที่ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณห้องแถลงข่าว หลังน.ส.เคย์ลีห์ แมคอีแนนีย์ โฆษกหญิงและผู้ช่วยของเธอ มีผลตรวจเป็นบวก และการจัดตั้งสำนักงานชั่วคราวให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยอยู่ที่ชั้นล่างใกล้กับสำนักงานของนพ.คอนลีย์ ซึ่งทุกฝ่ายคาดหวังว่าผู้นำสหรัฐฯจะยังไม่กลับเข้าไปห้องทำงานเดิมคือที่ปีกตะวันตก
ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความพร้อมที่จะทำการดีเบตกับนายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในวันที่ 15 ต.ค.ที่ศูนย์แสดงศิลปะ Adrienne Arsht Center ในเมืองไมอามี และจากนั้นในวันที่ 22 ต.ค. ทั้งคู่จะพบกันในศึกดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยเบลมอนท์ เมืองแนชวิล รัฐเทนเนสซี
Facebook, Twitter จัดการโพสต์โควิด-19 ของปธน.ทรัมป์ สร้างความเข้าใจผิด
เฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ใช้มาตรการจัดการต่อโพสต์ของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากละเมิดกฎเรื่องการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโควิด-19 เมื่อเขาโพสต์ข้อความว่า “โควิด-19 ก็เหมือนกับไข้หวัด” โฆษกของเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า เป็นผู้ลบโพสต์ข้อความนี้ออกไปหลังจากที่มีการแชร์ข้อความต่อไปประมาณ 26,000 ครั้งแล้ว หลังจากที่ถูกวิจารณ์ว่าเพิกเฉยต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อความที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์
ส่วนทวิตเตอร์ ใช้มาตรการปิดกั้นการรีทวีตในทวีตที่คล้ายกันของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งขึ้นป้ายข้อความเตือนว่าละเมิดกฎการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและอาจเป็นอันตรายที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ซึ่งยังทำให้ทุกคนสามารถเห็นข้อความนี้
ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ของปี 2562-2563 สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิต 22,000 ราย ตามการประมาณการของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือซีดีซี ขณะที่นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯเมื่อต้นปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้มากกว่า 210,000 รายแล้ว ซึ่งเป็นสถิติผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก
ศึกดีเบตคู่ชิงรองปธน.สหรัฐฯ 'เพนช์-แฮร์ริส' มีฉากกั้น ยืนห่างกันเกือบ 4 เมตร
ศึกประชันวิสัยทัศน์รอบแรกและรอบเดียว ระหว่างรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ จากพรรครีพับลิกัน และ ส.ว.กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ในวันนี้ 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือเช้าพรุ่งนี้ตามเวลาในประเทศไทย จะมีการติดตั้งแผ่นอะคริลิกใสเป็นฉากกั้น และให้คู่อภิปรายยืนห่างกันกว่า 12 ฟุต เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อโควิด-19 การดีเบตระหว่างคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯจะจัดขึ้นที่เมืองซอลต์เลกซิตี้ ทั้งนายเพนซ์ และ ส.ว. แฮร์ริส ต่างมีผลตรวจโควิด-19 ล่าสุดเป็นลบและรองประธานาธิบดีก็ได้ทำงานจากที่บ้านตลอดช่วงสุดสัปดาห์
คณะกรรมการจัดการอภิปรายของผู้สมัครชิงประธานาธิบดี (Commission on Presidential Debates) ระบุว่า นอกจากติดตั้งฉากกั้นและให้ผู้อภิปรายนั่งห่างกันกว่า 12 ฟุตหรือ 3.7 เมตรแล้ว การดีเบตครั้งนี้เน้นเรื่องโควิด -19 จำกัดจำนวนผู้เข้าชมโดยทุกคนต้องผ่านการตรวจคัดกรองโควิด-19 และใครก็ตามที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยจะไม่อนุญาตให้เข้าฟังการดีเบตด้วย