การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ในวันพรุ่งนี้ มีรายงานว่า กระทรวงคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ลักษณะเดียวกับช้อปช่วยชาติให้พิจารณา เพื่อเปิดให้ผู้มีกำลังซื้อสูงและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประมาณ 3-4 ล้านคน เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและนำค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทมาหักลดหย่อนภาษีได้ โดยซื้อได้ทั้งสินค้าและบริการ เช่น อาหาร ของกินของใช้ที่จำเป็น โรงแรม ร้านสปา โอทอป ยกเว้นสินค้าฟุ่มเฟือย สุรา และยาสูบ โดยจะเปิดให้ขึ้นทะเบียนและเริ่มโครงการในเดือนต.ค.นี้ และห้ามคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเข้าร่วม เพราะถือว่าได้รับความช่วยเหลือจากรัฐไปแล้ว
นอกจากนี้ ศบศ.จะพิจารณาการขยายมาตรการเราเที่ยวด้วยกันออกไป จากเดิมสิ้นสุดเดือน ต.ค.63 ไปเป็น ธ.ค.63 เพื่อให้คนไทยและครอบครัวเดินทางช่วงวันหยุดยาว และปิดภาคเรียนมากขึ้น ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนสำเร็จในมาตรการนี้แล้ว 5 ล้านคน มีการจองโรงแรมห้องพักแล้ว 1.4 ล้านห้อง คิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ สศค.เตรียมข้อมูลด้านเศรษฐกิจ พร้อมมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และแผนการลงทุนของภาครัฐ เพื่อเสนอให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง คนใหม่พิจารณา เนื่องจากในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องใช้การลงทุนเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเพิ่มเพื่อให้เกิดการจ้างงาน หลังจากปีนี้ได้เน้นดูแลการบริโภคภายในไปแล้ว ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง แต่หากจะให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วจะต้องมีการลงทุนเข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งนายอาคม ถือว่ามีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลังจากเคยเป็น รมว.คมนาคมมาก่อน และผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์เกิดขึ้นมากมาย